รู้นิมิตของสังขารทุกประเภท


        อ.นิภัทร พวกเราท่านทั้งหลายเห็นด้วยไหม มามูลนิธิทุกวันเสาร์ ทุกวันอาทิตย์ มีศรัทธามานะ ไม่มีศรัทธามาไม่ได้หรอก ศรัทธาที่จะตั้งมั่นได้ต้องมีปัญญา ต้องเข้าใจสภาพธรรมที่ฟังว่าคืออะไร มาฟังวันหนึ่งๆ ได้คำหนึ่ง นิดเดียว หน่อยหนึ่งก็ยังดีๆ กว่าบอกว่าไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้นศรัทธาจะมั่นคงได้ต้องมีสติปัญญา

        สุ. เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงแต่คำที่เรากล่าวลอยๆ แล้วก็จำๆ สืบต่อกันมา แต่ถ้าศึกษาพิจารณาก็จะได้ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นด้วย

        วิ. อย่างเช่นถ้าเป็นผู้ที่มากด้วยศรัทธา แล้วถ้าเกิดปัญญายังไม่เจริญ รู้สึกว่าขณะที่มีศรัทธา ขณะนั้นก็มีสติด้วย แล้วเหตุปัจจัยที่จะมีสติในการที่จะรู้ว่ามีความต่างระหว่างศรัทธากับปัญญา จะเป็นสติขั้นไหนยังไง

        สุ. ถ้าฟังเรื่องราวก็เป็นขั้นความเข้าใจเรื่องของสภาพธรรมนั้น เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดที่มีจริงๆ แม้ขณะนี้ก็กำลังปรากฏที่จะรู้ลักษณะจริงๆ ว่าเป็นสภาพธรรมต้องเพราะสติสัมปชัญญะซึ่งเป็นสติปัฏฐานเกิดเท่านั้น เพราะเหตุไร เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดแล้วดับเร็วมาก ขณะนี้ทุกอย่างถ้าสติสัมปชัญญะไม่ได้ระลึกลักษณะหนึ่งลักษณะใด สภาพธรรมนั้นก็ดับหมดแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริง ชั่วขณะที่สั้นมาก และก็มีสิ่งอื่นเกิดดับสืบต่อ แต่ว่าสามารถที่จะปรากฏเป็นนิมิตของสังขารทุกประเภทที่จะทำให้ค่อยๆ รู้ในความเป็นจริงของสภาพที่ยังปรากฏได้

        วิ. หมายความว่าถ้าเป็นศรัทธาในขั้นต้น ขณะนั้นก็เป็นเพียงเป็นเหตุให้เจริญกุศลขั้นอื่นเจริญขึ้น แต่ว่าขณะนั้นต้องมีสติ และปัญญาที่ยิ่งขึ้นไปกว่าเพียงแค่ศรัทธาเท่านั้น

        สุ. ค่ะ อย่างเช่น การให้ทานกุศล ถ้าสติไม่เกิด การให้ก็มีไม่ได้เลย ในขณะที่สติเกิดก็มีศรัทธาในการให้ด้วยจึงให้ ด้วยเหตุนี้โสภณเจตสิกต้องเกิดกับโสภณจิตอย่างน้อยที่สุดต้อง ๑๙ ประเภท ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้เลย

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 237


    หมายเลข 11633
    23 ม.ค. 2567