เกิดแล้วดับไม่กลับมา


        ถ้าไม่มีธรรมะมีเราไหม


        ถ้าถามกลับกันตอบได้ ถ้าไม่มีเห็น ไม่มีร่างกายตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า ไม่มีได้ยิน ไม่มีคิดนึกจะมีเราไหม ก็ไม่มี

        แต่ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ สิ่งที่มีอยู่ก็เป็นเราทั้งหมด

        เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วสิ่งที่เข้าใจว่าเป็นเรานั้นเป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งซึ่งต้องเกิด เกิดแล้วต้องดับ ดับแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แต่สิ่งอื่นที่เกิดสืบต่อก็ปกปิด

        เมื่อวานนี้ยังมีอะไรเหลือไหม เมื่อวานนี้เห็น เห็นหมดแล้ว ได้ยินเมื่อวานนี้หมดแล้ว ทุกอย่างเมื่อวานนี้หมดแล้วแต่มีวันนี้ ก่อนนี้ก็มีธรรมะซึ่งเกิดแล้วดับแล้วแต่ไม่ปรากฏ จึงเข้าใจว่าแม้ขณะนี้ก็ไม่มีอะไรที่เกิดดับ

        แต่ความจริงถ้าพิจารณาแต่ละหนึ่ง ขณะเห็นต้องไม่มีได้ยิน ขณะได้ยินต้องไม่มีคิด ทุกอย่างเป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ

        เพราะฉะนั้น น่าเข้าใจถูกต้องว่าแต่ละหนึ่งคืออะไรบ้าง

        สภาพที่มีจริงอย่างหนึ่งแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยเช่นสิ่งที่ตัวผม ผมรู้อะไรไหม เอามือแตะผม สระผม หวีผม ผมไม่รู้อะไรเลย

        เพราะฉะนั้น สภาพที่ตัวที่มีที่ว่าว่าเป็นผมของเราความจริงก็เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งแข็ง อะไรก็ตามแต่อาจร้อนก็ได้ ตากแดดมาผมก็ร้อน

        ทั้งหมดก็เปลี่ยนแปลงไป แต่ว่าเป็นของเราหรือ แต่ว่าสิ่งที่มีที่ตัวส่วนหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยเล็บรู้อะไรได้ไหม ตัดเล็บ เล็บไม่เจ็บไม่รู้สึกอะไรเลยทั้งสิ้น

        เพราะฉะนั้น สภาพที่มีก็ต่างกันเป็นสองอย่าง อย่างหนึ่งมีจริงๆ แต่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น จะตีจะกระทบกระแทกอย่างไรสิ่งนั้นก็ไม่รู้สึกเช่นแข็งที่เราว่าเป็นโต๊ะ ลองทุบโต๊ะแรงๆ โต๊ะก็ไม่รู้สึก

        เพราะฉะนั้น ส่วนหนึ่งที่ตัวของเราก็มีสภาพที่มีจริงแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้

        คนตายต่างกับคนเป็นเพราะว่ามีรูปร่างกายเหมือนเดิมแต่ไม่รู้อะไร เพราะไม่มีจิตจึงกล่าวว่าเป็นคนตาย ไม่มีสภาพรู้ ไม่มีธาตุรู้ คนตายไม่เห็น คนตายไม่ได้ยิน คนตายไม่ได้คิด

        เพราะฉะนั้น เห็นเป็นอย่างหนึ่ง คิดเป็นอย่างหนึ่ง จำเป็นอย่างหนึ่ง ทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นสภาพที่เกิดขึ้นรู้ รักชังต่างๆ ขี้เกียจ ขยัน ทั้งหมดในวันหนึ่งๆ ก็เป็นสภาพรู้ซึ่งไม่ใช่เรา ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี

        เพราะฉะนั้น เรามีไหม ตอนที่ยังไม่เกิด แต่พอเกิดแล้วมี เดี๋ยวนี้หิวไหม? ไม่หิวแต่หิวเกิดเป็น เราหิว

        ความจริงหิวก็เป็นสภาพธรรมที่เป็นทุกข์ทางกายลักษณะหนึ่ง เพราะทุกข์ความรู้สึกที่ไม่สบายกายมีหลายอย่าง เจ็บ คัน ปวด เมื่อย สารพัดอย่าง เป็นสภาพที่มีเมื่อเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี

        เพราะฉะนั้น เมื่อไม่เกิดไม่มี แล้วเรามีไหม? เราเจ็บไหม เราคันไหม เราหิวไหม ถ้าสภาพต่างๆ เหล่านั้นไม่มีจะไม่มีเรา แต่พอเกิดขึ้นเพราะไม่รู้ก็เป็นเราทั้งหมด

        เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมะแต่ละอย่างซึ่งเกิดขึ้นแต่ไม่รู้จึงเป็นเราแต่ละภพ แต่ละชาติ เกิดมาเป็นคนโน้น คนนี้ ต่อไปเป็นใคร แต่ก็คือธรรมะทั้งหมด

        เพราะฉะนั้น ธรรมหลากหลายมาก แต่ก็อย่างใหญ่ๆ เป็นประเภทที่ต่างกันคือสภาพอย่างหนึ่งไม่รู้อะไรเลยที่ตัวก็มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติเรียกว่า "รูปธรรม"

        แต่ถ้าไม่มีสภาพรู้ อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ แต่ที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏได้เพราะมีธาตุรู้ที่กำลังรู้สิ่งนั้น

        เพราะฉะนั้น เห็นขณะนี้เป็นธาตุรู้ว่าเดี๋ยวนี้มีอะไรตรงหน้าที่ปรากฏ พอได้ยินรู้ว่าเสียง เสียงอะไรแล้วก็คิดเพราะเหตุว่าจำได้ เพราะฉะนั้น ทั้งหมดก็เป็นสภาพรู้ที่ใช้คำเรียกว่า "นามธรรม"

        เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรพ้นไปจากรูปธรรม และนามธรรม เมื่อเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นแหละต้องเป็นหนึ่งคือเป็นรูปธรรมหรือเป็นนามธรรม

        ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เข้าใจความจริงว่าโลกว่างเปล่าเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น และโลกว่างเปล่าเมื่อไม่มีอะไรแล้วก็มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดแล้วสิ่งนั้นก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย เหมือนเดิมไหม จากไม่เคยเกิด ไม่มีอะไรเกิดแล้วก็มีสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับ

        เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไร แต่ว่าพอมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นไม่ประจักษ์การเกิดดับก็หลงเข้าใจว่าเป็นเรา แต่จะเป็นเราได้อย่างไรหมดไปแล้วทุกขณะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงหรือเปล่า? ความจริงซึ่งคนอื่นไม่รู้ และบางคนไม่สนใจที่จะรู้ด้วย

        เพราะฉะนั้น เกิดมาไม่รู้ว่าจะกี่วัน กี่เดือน กี่ปี จากโลกนี้ไปก็ไม่รู้อะไรเหมือนเดิม เกิดอีกก็เหมือนเดิมอีกคือไม่รู้อะไร

        เพราะฉะนั้น ความรู้ขณะนี้มาจากใคร จากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ละเอียดอย่างยิ่ง นี่แค่ไม่กี่คำ แต่คำของพระองค์ทุกคำจะทำให้สิ่งซึ่งไม่เคยเกิดคือความเข้าใจถูกภาษาบาลีใช้คำว่า"สัมมาทิฏฐิ" ความเห็นถูก ปัญญาก็ได้เพราะว่าคนไทยคุ้นเคยกับคำนี้ แต่ไม่รู้ว่าคำนี้จริงๆ หมายความว่าสภาพธรรมอะไรที่มีจริงๆ

        ปัญญาต้องเป็นความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น จากความมืดไม่เคยฟังธรรมะ ไม่เคยรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินคำที่ทำให้เริ่มเข้าใจว่า ที่ตัวตรงไหนเป็นเรา เป็นแต่สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ๆ แล้วแต่จะแข็ง อ่อน เย็น ร้อน ตึง ไหว หรือว่าเป็นเสียงเป็นกลิ่น เป็นอะไรต่างๆ แล้วก็มีสภาพรู้ซึ่งเกิดดับตลอดเวลา

        เพราะฉะนั้น ตายแล้วเป็นเราหรือเปล่า ถ้าตายแล้วไม่เป็นเรา ตอนยังเป็นอยู่ ทำไมเป็นเรา เอาเรามาจากไหน เอาเรามาจากตอนที่ยังเป็นอยู่เท่านั้นเอง

        แต่พอตายแล้วก็ไม่มีเรา แต่มีธรรมะเกิดอีก หลงยึดถือว่าเป็นเราอีก แต่ไม่ใช่คนที่กำลังนั่งอยู่ตรงนี้

        แต่วันหนึ่งก็จะหมดสิ้นหาคนนี้อีกไม่ได้เลย มีใครหาใครได้ไหม หลังจากตายแล้ว ไม่มีทางพบอีกเลย

        เพราะฉะนั้น ชีวิตก็ดำรงอยู่ชั่วคราวเพียงชั่วหนึ่งขณะจิต ดับแล้วเกิดอีก ดับแล้วเกิดอีกจนกว่าจะสิ้นสุด

        ตายแล้วยังต้องเกิดอีกเหมือนเดี๋ยวนี้เลย สิ่งใดที่ดับ หมดสิ้นไปแล้วก็ยังมีสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้น

        เพราะฉะนั้น จากโลกนี้ไปแล้วก็ยังต้องมีการเกิดขึ้นอีกตามเหตุตามปัจจัย ไม่สิ้นสุด ดีไหม ไม่ใช่เรา เหมือนไฟเกิดดับไป เกิดมาทำไม ต้องเป็นไฟเกิดดับไปทำไมแต่ก็ยับยั่งไม่ได้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เดี๋ยวนี้กำลังเกิดเป็นธรรมดา ใครยับยั้งไม่ให้เกิดได้

        ถ้าไม่รู้อย่างนี้ก็จะไม่เห็นว่าสังสารวัฏฏ์ สภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อไม่สิ้นสุด ไม่ควรเป็นที่ยินดีเลย เพราะไม่ใช่เรา ต้นไม้ใบหญ้าเกิดไป ไฟเกิดไหม้ไปดับไป มีประโยชน์อะไร

        เพราะฉะนั้น ธรรมะแต่ละหนึ่งมีปัจจัยที่จะเกิดดับยับยั้งไม่ได้ ใครเลือกที่จะให้อะไรเกิดขึ้นบ้าง ได้ไหม ไม่มีทางเลย เพราะธรรมะไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

        ทั้งไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา และไม่ใช่อยู่ในอำนาจของเราด้วย ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้

        มีอะไรที่เกิดแล้วไม่ตายบ้าง ไม่มีเลย


    หมายเลข 11586
    17 ก.พ. 2567