สุขเพราะปัญญา


    อ.อรรณพ จะมีความสุขในทุกกาละอย่างแท้จริง ได้อย่างไร


    ผู้ฟัง หลักธรรมใดที่ควรนำมาเป็นหลัก เพื่อให้การทำงานแล้วมีความสุข ไม่เบื่อหน่าย แม้จะประสบปัญหา หรือแม้แต่จะประสบความสำเร็จแล้วก็ตาม ซึ่งควบคุมไม่ได้ และก็ไม่ยั่งยืน

    ท่านอาจารย์ จะสำเร็จหรือไม่ ถามอย่างนี้ และตอบกันไปมากมายสักเท่าไรก็ตาม แต่จะสำเร็จไหม ตราบใดที่ไม่รู้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ ต้องมีเหตุ ความสุขก็ต้องมีเหตุที่จะให้เกิดความสุข ความทุกข์ก็ต้องมีเหตุที่จะให้เกิดความทุกข์ ใครไม่สามารถที่จะดลบันดาลได้เลย การรู้ความจริง ความเข้าใจที่ถูกต้องต่างหาก ที่จะทำให้มีความสุข ไม่ว่าที่ไหน กาลไหน เวลาไหนไม่ใช่ว่าเวลาทำงานมีความสุข แต่เวลาอยู่บ้านมีความทุกข์ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ประโยชน์ ประโยชน์จริงๆ ก็คือว่าสามารถที่จะมีความสุขได้ทุกกาล แต่ว่าจะเป็นอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าขาดปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง

    ทฤษฎีของใครจะสามารถเป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการประเทศไทย คนไทย หรือชาวต่างประเทศ หรือใครก็ตามสารพัด นักจิตวิทยา หรืออะไรก็ตาม ใครรู้เท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทางตรงที่สุดก็คือว่า ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะรู้ว่ามีความสุขกว่าการที่ไม่ได้ฟัง เพราะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เช่นรู้ว่านั่งวิปัสสนากรรมฐาน ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ไปนั่ง ไม่ทุกข์ใช่หรือไม่ ไปนั่งเป็นทุกข์ หรือสุข ใครไปนั่งแล้วเป็นสุขบ้าง สุขตรงไหน ทุกอย่างไม่ใช่ว่าจะได้อย่างใจ หรือใครจะทำอะไรได้ ก็ต้องกลับไปสู่คำจริง ตลอดกาลสมัย ไม่ว่าอดีต อนาคต ปัจจุบัน คือทุกสิ่งทุกอย่าง ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา สุขก็ชั่วคราว หมดแล้ว มีเหตุปัจจัยก็เกิดทุกข์ มีเหตุปัจจัยก็เกิดสุข ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย ทุกอย่างต้องเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ถ้ารู้อย่างนี้จะเป็นสุขกว่าหรือไม่ และก็ไม่จำกัดด้วยว่าที่ไหน เฉพาะที่ทำงานก็สามารถจะมีความสุข แม้นอกที่ทำงานก็ได้ ถ้าคิดง่ายๆ สั้นๆ ธรรมดาๆ ก็คือว่า คนดีอยู่ที่ไหนก็มีความสุขใช่ไหม แต่ว่าเป็นคนดี ยากหรือง่าย แต่ว่าเราก็ต้อง ค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ ไตร่ตรอง คนดีอยู่ที่ไหนก็มีความสุข ไม่เดือดร้อน แต่การเป็นคนดียาก แล้วจะดีขึ้นได้อย่างไร ทุกอย่างต้อง ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป หาเหตุผล ไม่ใช่ว่าเขาบอกให้เราจะทำได้ เป็นไปไม่ได้เลย แต่ว่า ค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิจารณา ไตร่ตรอง

    ใครเป็นที่พึ่ง ในที่สุดก็มาถึงว่า ใครเป็นที่พึ่ง คนดีอยู่ที่ไหนก็มีความสุข แต่เป็นคนดีก็ยาก ใครจะเป็นคนดีได้ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยากจะเป็นคนร้าย แต่ก็เป็นคนร้ายบ้างเป็นคนดีบ้าง ตามโอกาส ยิ่งดี ก็ยิ่งมีความสุข แต่ว่าจะยิ่งดีขึ้นได้อย่างไร มาถึงที่พึ่งแล้วใช่หรือไม่ พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้ถึงที่สุดทุกประการ เป็นที่พึ่ง

    ทุกอย่างประมวลอยู่ในคำสอน ๔๕ พรรษา ทั้งพระวินัยปิฎก พระสุตตันปิฎก และพระอภิธรรมปิฏก ทุกคำเป็นคำจริง แล้วก็มีอยู่ทุกขณะ สามารถที่จะกล่าวถึงทุกสิ่งทุกอย่างได้ ให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ในความเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ต้องมีความเข้าใจถึงที่สุด ของชาตินี้ที่เกิดมามีโอกาสได้ฟังธรรม คือได้เข้าใจจริงๆ ว่าธรรมไม่ใช่เรา ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ชั่วคราว เกิดขึ้นใน และดับไป ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ แล้วก็ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ขณะที่เข้าใจดีหรือไม่ เริ่มดีตั้งแต่เข้าใจ และความเข้าใจนั้น ก็จะนำไปสู่ความดีประการอื่นๆ ด้วย เมื่อพบที่พึ่ง จริงๆ แล้วก็ควรจะพึงบุคคลนั้นตลอดไป คือพระรัตนตรัย

    ผู้ฟัง ดังนั้นคือธรรม เมื่อเรามีความรู้จริง ในการที่ปฏิบัติ หรือว่าทำงาน แต่ว่า ณ เวลาทำงาน เราเกิดมีอารมณ์โมโห หรือว่าโกรธ แล้วเราไม่มีสติที่จะรับรู้ในขณะนั้น อย่างนี้เราต้องปฏิบัติอย่างไร

    ท่านอาจารย์ คิดว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะให้เราปฏิบัติ หรือว่าจะให้เข้าใจถูกต้อง มีทางเลือกแล้ว ส่วนใหญ่ความไม่รู้เลือกเราสุข เราทั้งหมดในตลอดตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ว่าปัญญาความรู้จะรู้ว่า ความรู้ดีกว่าการที่จะมีความสุข เพราะเหตุว่าความสุขก็ไม่ยั่งยืน ชั่วคราว แต่ปัญญาที่ค่อยๆ เกิดขึ้น ค่อยๆ เจริญขึ้น มากขึ้น จนกระทั่งสามารถจะรู้ความจริงได้ จนนำไปสู่ความสุขที่ถึงที่สุด หมดความทุกข์ทั้งปวง นี่เดี๋ยวก็สุขบ้าง ทุกข์บ้างไปเรื่อยๆ แล้วก็หาทางแก้ ถามทางแก้ไปเรื่อยๆ ก็ไม่เหมือนการที่จะได้มีปัญญา ที่จะเข้าใจความจริง แล้วปัญญาก็จะแก้ คือนำไปสู่ทางที่ถูกต้อง


    หมายเลข 11456
    15 มี.ค. 2567