สงบท่ามกลางอกุศล


    อ.อรรณพ สงบคือเป็นกุศล เพราะพ้นไปจากอกุศลที่มีมากมายชั่วขณะ แต่ถ้าเข้าใจผิด ก็จะมีการสอนให้ไปจดจ้องให้สงบ ซึ่งเป็นการกล่าวตู่ว่าเป็นคำสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า


    ท่านอาจารย์ ทุกคนต้องการความสุขสบายใช่หรือไม่ ขณะนั้นสงบหรือเปล่า กำลังสุขด้วย สบายด้วย ขณะนั้นสงบหรือเปล่า

    อ.อรรณพ ไม่สงบ

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    อ.อรรณพ เพราะเป็นความยินดี ติดข้อง ซึ่งเป็นอกุศลธรรม

    ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่า แม้แต่คำว่าสงบ ต้องสงบจากกิเลส สงบจากอกุศล และถ้าไม่ใช่ธรรมฝ่ายดี ขณะนั้นก็ต้องมีอกุศลเจตสิกเกิด ซึ่งไม่สงบ

    อ.อรรณพ สมาธิ ก็คือความตั้งมั่น ที่เป็นกุศล คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ต้องเกิดกับโสภณเจตสิก เพราะเอกัคคตาเจตสิก เกิดกับจิตทุกขณะอยู่แล้ว กำลังสนุก ก็มีเอกัคคตาเจตสิก กำลังให้ทานสละสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์แก่คนอื่น ขณะนั้นก็ไม่ใช่อกุศลเจตสิก สงบเมื่อไร ทุกขณะที่เป็นจิตที่ดีงามเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไปในทาน การสละสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้แก่คนอื่น ขณะนั้นสามารถละได้ สละได้ ไม่ติดข้อง ขณะนั้นก็สงบ จากโลภะ ซึ่งติดข้อง ต้องเข้าใจว่า สงบคือ สงบจากอกุศล สงบจากกิเลส ก็ต้องรู้ว่าเมื่อไรบ้างที่เป็นอกุศล เมื่อไรบ้างที่เป็นกิเลส ถ้ามิฉะนั้นก็เพียงแต่ตอบไป แต่ว่าไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ว่าขณะไหน

    อ.อรรณพ ในชีวิตประจำวัน โอกาสไหนบ้าง หรือว่าจะเป็นตัวอย่าง ที่ได้เห็นถึงสมาธิที่เป็นกุศล

    ท่านอาจารย์ กำลังฟังอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ทุกคน คุณอรรณพสงบไหม

    อ.อรรณพ ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ เพียงแต่เรื่องราวของธรรมเป็นอย่างนั้น แต่สภาพธรรมก็เกิดดับเร็วมาก การที่จะรู้จริงๆ ว่าขณะนั้นเป็นอะไร ไม่ใช่ปัญญาขั้นฟัง ปัญญาขั้นฟัง เป็นแต่เพียงนำทาง ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องเท่านั้นเอง แต่ว่าสภาพธรรมก็กำลังเกิดดับ สุดที่จะประมาณได้ เกิดแล้วดับทันที แต่ละหนึ่งไม่กลับมาอีกเลย แล้วจะรู้ได้อย่างไร ก็ฟังเพื่อให้รู้ว่า อย่าเพียงใช้คำว่าสงบ โดยที่ไม่ได้รู้จริงๆ ว่าสงบคืออะไร เพราะแม้แต่ขณะที่กำลังให้ทาน สงบหรือไม่

    อ.อรรณพ ตอนที่ให้ทานเป็นกุศล ขณะนั้นมีโสภณเจตสิกเกิด มีความสงบ

    ท่านอาจารย์ โดยเรื่องราวเท่านั้นเอง ต้องทราบว่าคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นความจริง ๓ ระดับขั้นปริยัติ ต้องฟังให้เข้าใจจริงๆ ว่าสงบ คือสงบจากอกุศล ไม่ใช่ว่าใครก็คิดว่า ไปเดินแล้วก็สงบ ไปอยู่ในที่ๆ ไม่มีใครเลย แล้วก็สงบ นั้นคิดเองทั้งหมด เป็นการกล่าวตู่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต้องศึกษาโดยละเอียดจริงๆ เพื่อเข้าใจ ไม่ใช่คนอื่นด้วย ต้องตนเอง ขณะที่กำลังให้ทาน สงบหรือไม่

    อ.อรรณพ สงบ

    ท่านอาจารย์ ท่ามกลางอกุศลใช่ไหม

    อ.อรรณพ สงบ แต่ปัญญาก็ยังไม่ได้รู้ ในความสงบตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ ขณะที่กำลังให้ทาน ชั่วขณะที่สละให้ ขณะนั้นสงบจากอกุศลแต่การให้นั้นท่ามกลางอกุศล ใช่ไหม

    อ.อรรณพ ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ แล้วรู้หรือไม่ ว่าขณะไหนสงบ ขณะไหนไม่สงบ เพราะว่าขณะที่เป็นอกุศลต้องไม่สงบ แต่ขณะที่เป็นทาน ขณะนั้นสงบ และความสงบนั้นเกิดท่ามกลางอกุศล แล้วจะรู้ได้ไหม ถ้าไม่ใช่ปัญญาอีกระดับหนึ่ง เป็นผู้ตรงตามความเป็นจริง การศึกษาเพื่อเข้าใจธรรม ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราอยากรู้ แล้วเราพยายามไปรู้ แล้วก็คิดว่า จะต้องถามให้เข้าใจให้ได้ เรื่องนั้นเรื่องนี้ ซึ่งลืมไป ใครแสดงธรรม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คนฟังปัญญาแค่ไหน น้อยนิดเท่าเมล็ดทรายหรือเปล่า ถ้าเปรียบเทียบกับทะเลทรายทั้งหมด แล้วก็จะรู้โน่น จะรู้นี่ จะรู้นั่น แต่ลืมว่าการฟังเพื่อเข้าใจถูกว่า ไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร จะนำไปสู่การที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะการที่จะรู้ว่าขณะนี้ไม่ใช่เรา ไม่ง่าย แสนยาก ฟังไปก็เข้าใจว่าเป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป แต่เดี๋ยวนี้แม้แต่จิต ๑ เจตสิก ๑ รูป ๑ ก็ไม่ได้ปรากฏ เป็นเรื่องราวทั้งหมด เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ทั้งๆ ที่จิต เจตสิกกำลังเกิดดับขณะนี้ทั้งหมด ไม่มีใครเลย แล้วก็จะกล่าวถึงความสงบ ง่ายๆ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ขณะนี้ที่กำลังเข้าใจ ขณะนั้นสงบจากอกุศล คือรู้ว่าเป็นสิ่งที่ละเอียด ลึกซึ้ง ยาก แต่ก็ไม่ใช่ธรรมประเภทเดียวกัน

    อ.อรรณพ ด้วยความไม่รู้ ก็ไปเอาความสบาย ที่เกิดกับความติดข้อง ว่าเป็นความสงบ แต่ความสบายไม่สงบ

    ท่านอาจารย์ มีธรรม คิดเอง

    อ.อรรณพ แล้วสอนกันอย่างนี้ว่า ให้ทำอย่างนี้ นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เป็นการกล่าวตู่

    ท่านอาจารย์ ท่านผู้หนึ่ง ท่านก็เพิ่งได้รับเทป เพราะมีคนเห็นว่าเป็นเด็กที่อายุยังไม่มาก แล้วก็รู้สึกว่าจะพูดอะไรที่มีเค้าของความเข้าใจธรรม พอฟังหมดแล้ว คนนั้นกล่าวว่า ที่สอนกันนั้น ที่ไม่ตรงตามพระธรรมวินัย เพราะคิดเองหมด ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ประมาท คือฟังด้วยความเคารพที่จะเข้าใจว่า เป็นธรรม เท่าที่กำลังของสติปัญญาสามารถที่จะเข้าใจได้ เพื่อนำไปสู่การเข้าใจสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ เพราะขณะนี้ เราทั้งนั้น เห็นก็เป็นเรา คิดก็เป็นเรา แต่ทรงแสดงไว้ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็ค้านกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ยิ่งฟัง ยิ่งมีความเข้าใจขึ้น ค่อยๆ ละ การที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา โดยขั้นฟัง เข้าใจ ซึ่งจะนำไปสู่ การรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ตราบใดที่ยังเป็นเพียงขั้นฟัง เข้าใจ แต่ยังไม่ถึงการรู้ลักษณะจริงๆ ที่เป็นธรรม ตามที่ได้ฟัง ขณะนั้นก็ไม่สามารถที่จะละความเป็นตัวตนได้ ไม่ว่าจะกี่ปริเฉท จะสอบได้อะไรบ้าง ก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด แต่ว่าจริงๆ แล้วก็คือว่า ไม่รู้ความต่างของขณะที่เป็นความเข้าใจขั้นฟัง มีความเห็นถูกระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงการที่จะรู้ความจริง ที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏตรงตามที่ได้เข้าใจ

    อ.อรรณพ เจริญกุศลท่ามกลางกุศล เกิดความสงบเหมือนจุดเล็กๆ กับอกุศล ที่ไม่สงบเต็มไปหมด

    ท่านอาจารย์ ถามได้โดยชื่อ ตอบได้ แต่ตัวจริงของสภาพธรรมเพียงหนึ่งเกิดแล้วดับ และไม่กลับมาอีก ต้องอาศัยปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งต้องมีสติสัมปชัญญะ ซึ่งจะเกิดได้ เมื่อมีปัญญาที่มั่นคง ว่าขณะนี้เอง เป็นธรรม ทุกคำที่ได้ทรงแสดงไว้ มีจริงเดี๋ยวนี้ เป็นธรรมทั้งหมด


    หมายเลข 11388
    16 มี.ค. 2567