ปัญญาร่าเริง


    อ.อรรณพ สภาพธรรมเกิดแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาเลยในแต่ละขณะ ไม่น่าที่จะติดข้องเลย ซึ่งปัญญาที่รู้แจ้งอย่างนั้น จึงร่าเริงเพราะได้ประจักษ์แจ้งความจริง และพ้นไป จากความติดข้องในสิ่งที่เพียงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป


    อ.วิชัย ที่กล่าวว่า ปัญญาร่าเริง คืออย่างไร เป็นความเข้าใจอย่างไร ที่จะถึงความร่าเริงของปัญญาครับ

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องถึงขั้นพระสารีบุตร เพราะใครก็ไม่ถึงท่านแน่ ใช่ไหม แต่ว่าขณะนี้สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ดับไม่กลับมาอีกเลย ร่าเริงไหม จริงอย่างนั้นแล้วจะมานั่งเศร้านั่งโศกทำไม นั่งติดข้องอยู่ได้ กับสิ่งที่แค่มี เมื่อปรากฎแล้วก็หมดไป เร็วสุดที่จะประมาณได้ ปัญญาใดถึงระดับนั้น แต่ถ้าผู้ใดก็ตามที่ได้เข้าใจความจริง ประจักษ์จริงๆ ไม่ใช่บุคคลนั้น แต่เป็นปัญญาที่รู้อย่างนั้น ร่าเริง พ้นแล้วจากความติดข้อง พ้นแล้วจากความไม่รู้ กว่าจะพ้นแล้ว คิดดู อาหารสักคำหนึ่งก็ไม่ได้พ้นเลย แต่นี่พ้นแล้ว จากความติดข้อง เยื่อใยทั้งหลาย ปัญญาของท่านพระสารีบุตรจะปานไหน

    ทุกท่านที่ฟังธรรมเป็นผู้ที่รู้ด้วยตัวเอง เพราะว่าเป็นปัญญาความเข้าใจถูกของแต่ละคน เมื่อสักครู่ฟังแล้วใช่ไหม สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ไปแล้ว พลัดพรากไปแล้ว เคยแต่พลัดพรากสมบัติ เพื่อนฝูง ผู้ที่รัก สิ้นชีวิตหรืออะไรก็ตาม แต่นี่สิ่งที่กำลังมีนี้แหละ พลัดพรากไปแล้ว กิเลสยังอยู่ สิ่งที่พ้นไปหมด แต่กิเลสยังอยู่ แต่ถ้ากิเลสนั้นพลัดพรากไป ความปิติจะมีหรือไม่ จากการที่ฟังมาตั้งนาน บ่อยกี่ชาติในสังสารวัฏฏ์ แต่ขณะนั้นจริงๆ สิ่งนั้นปรากฏตามการสะสมที่ได้ฟัง และเข้าใจ ปัญญาขณะนั้นจะร่าเริงเบิกบานหรือไม่ แต่ก่อนจะถึงอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ใครร่าเริงบ้าง สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ไม่กลับมาอีกเลย ก็ยังเห็นอย่างนี้ ยังอยู่ และก็ได้ฟังว่าไม่เหลือ ไม่เหลือจริงๆ มีแต่สิ่งที่เกิดสืบต่อ ลวงเป็นโลกของนิมิตตลอดมาในสังสารวัฏฏ์ เหมือนคนที่หลับแล้วยังไม่ตื่น หลับแล้วฝันด้วย แต่ละชาติ ฝันไปไม่มีเหลือเลย แปลว่าอะไร ไม่มี เพียงมีเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป นี่เพียงแค่ฟัง ร่าเริงหรือเปล่า หรือว่าไม่มีเรา ไม่มีสมบัติของเรา ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีบุตรธิดา ไม่มีเพื่อนฝูง ไม่มีอะไร เป็นธรรมทั้งหมด ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ ร่าเริงหรือไม่ ไม่มีใครเลย เป็นแต่ธาตุที่มีจริง เป็นธาตุ ๒ อย่าง ธาตุอย่างหนึ่งก็มีปัจจัยเกิดขึ้นไม่รู้อะไร อีกธาตุหนึ่งก็เกิดขึ้นแล้วรู้ ไม่รู้ไม่ได้ กำลังเห็นนี่แหละธาตุนั้นเกิดแล้วเป็นอย่างนี้แล้ว แล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีก แล้วไม่เหลือเลย คือไม่กลับมาอีกเลย ในสังสารวัฏฏ์ รู้แค่นี้ยังไม่เบิกบาน ยังไม่ร่าเริง แต่ถ้าซ้ำแล้วซ้ำอีก ไตร่ตรองจนกระทั่งอกุศลทั้งหลายลดน้อยลง ความมั่นคงในความเข้าใจถูกในสิ่งที่ปรากฏ เริ่มเกิดตามลำดับขั้น ตั้งแต่ปริยัติ รอบรู้ในพระพุทธพจน์ คำนี้ไม่เปลี่ยน จากการที่รอบรู้อย่างมั่นคงเป็นสัจจญาณ ไม่ได้รอเวลาเลย ว่าเมื่อไรสติสัมปชัญญะจะเกิด ไม่ได้รอเวลาเลย ว่าเมื่อไรธรรมจะปรากฏอย่างที่ได้ฟัง เพราะถ้ายังรออยู่ ก็ยังโลภะอยู่นั้น ยังไม่พ้นจากอำนาจของโลภะ กว่าจะพ้นจากอำนาจของโลภะ ตามลำดับขั้น ที่สภาพธรรมสามารถที่จะปรากฏให้รู้ว่า พ้นแล้วจากการที่เคยติดข้อง เพราะประจักษ์ว่าสภาพนั้นจะติดข้องได้อย่างไร ก็ไม่มี ไม่เคยมี แล้วก็มี แล้วก็หามีไม่ ชาตินี้ยังไม่เกิด ไม่เคยมีชาตินี้ ยังไม่มีชาตินี้ แต่พอเกิดเป็นชาตินี้แล้วติดข้องในชาตินี้ และชาตินี้ก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ก็เท่ากับติดข้องในสิ่งที่ไม่มี แต่ยาวมากคือทั้งชาติ แต่ถ้าสั้นลงๆ ๆ เพียงหนึ่งขณะของสิ่งที่มี เกิดขึ้น และดับไป จะระลึกถึงพระพุทธคุณไหม จะเห็นความจริงไหมว่า ถ้าไม่มีพระธรรมสักคำหนึ่ง แต่ว่าใน ๔๕ พรรษา ประมาณไม่ได้ว่ากี่คำ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ขันธ์หนึ่งก็ไม่ใช่แค่คำเดียว ต้องเป็นข้อความที่ทำให้สามารถที่จะเข้าใจได้ ก็เป็นสิ่งซึ่งทำให้รู้ว่าสิ่งที่ประเสริฐที่สุดคือ ปัญญาเท่านั้น

    อะไรจะเป็นที่พึ่งได้ พ่อแม่ ให้กำเนิดเลี้ยงดูมา ท่านก็จากไปทุกชาติ แต่ว่าพระธรรมที่ได้ฟัง สะสมสืบต่อไป จนกว่าจะถึงความเบิกบานที่ได้รู้ว่า ไม่มีอะไร ยังไม่เบิกบานก็ยังไม่ใช่ ปิติสัมโพชฌงค์ ในบรรดาโพธิปักขิยธรรม ธรรมอื่นๆ ก็ยังไม่ใช่ปิติ แต่ปิติก็จะเกิดขึ้นตามกำลังของความเห็นถูก โดยที่ว่าไม่ได้หวังอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะหวังเป็นโลภะ เป็นความไม่รู้ ขัดเกลาความหวัง ความต้องการ การรอสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่มีเลย ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย เมื่อไรก็เมื่อนั้น


    หมายเลข 11387
    17 มี.ค. 2567