003 พระพุทธศาสนาในประเทศไทย
สนทนาพิเศษ
เรื่อง พระพุทธศาสนาในประเทศไทย
ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๓
อ.อรรณพ คนที่นับถือพุทธศาสนา เข้าใจศีล สมาธิ ปัญญาอย่างไร มาเริ่มต้นคำว่า ศีล ก่อน ก็จะขอความเห็นของคุณสุคิน คุณสุคินมีความเข้าใจว่า ศีล ในความคิดต่างๆ ในความเชื่อต่างๆ ในศาสนาต่างๆ เขาคิดว่า ศีลนี้คืออย่างไร แล้วศีลในพุทธศาสนาจริงๆ นั้นคืออย่างไร แล้วพระพุทธศาสนาในประเทศไทยเข้าใจศีลกันว่าอย่างไร
คุณสุคิน ก็มีแต่อาจารย์ที่ให้เราเข้าใจคำว่า ศีล ก่อนหน้านี้และที่อื่นที่ผมได้ยินมา เวลาพูดถึงศีลเมื่อไร เขาเข้าใจว่าเป็นศีลห้า เขาจะคิดถึงแต่ศีลห้า คือไม่ฆ่าสัตว์ โดยไม่เข้าใจว่าความหมายของศีลก็คือ การกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ ก็คือตอนนี้ก็ศีล ความหมายของศีลต้องเริ่มจากที่นั่น แล้วที่เรารีบจะไป และคิดแต่แง่ว่า ศีลคือละ คือไม่ฆ่า ไม่โกหก เหมือนกับเราคิดด้วยความเป็นตัวตน ว่าเราไม่ฆ่า เราพอใจที่จะฟัง เพราะเราอยากจะทำ เราอยากจะมีศีล
อ.อรรณพ เราอยากจะทำศีล เราอยากจะมีศีล
คุณสุคิน ใช่ โดยไม่เข้าใจว่าคืออะไร แค่ฟังปุ๊บอยากจะทำ เช่นเดียวกันสมาธิ ฟังปุ๊บอยากจะทำ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้เป็นอะไรที่ควรจะไปว่าเป็นคำสอนของพระพุทธองค์เลย เพราะพระพุทธเจ้าสอนให้เข้าใจ ทุกอย่างที่ได้ยินต้องเข้าใจก่อน ส่วนใหญ่จะไม่คิดเรื่องเข้าใจเลย
ท่านอาจารย์ ที่จริงถ้าถามคนไทยก็อาจจะไม่รู้จักแม้ศีล สมาธิ ปัญญา ใช่ไหม
อ.อรรณพ เพราะพระพุทธศาสนา ทุกคนก็พูดกันติดปากว่า สอนเรื่องอะไร สอนเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา
ท่านอาจารย์ แต่ว่าขณะนี้ชาวโลกเข้าใจว่า พุทธศาสนาคือสำนักปฏิบัติวิปัสนา
อ.อรรณพ ก็คือสมาธิ
ท่านอาจารย์ นั่นแหละคือพระพุทธศาสนา แต่ไม่มีความเข้าใจแม้แต่คำว่า สำนักวิปัสสนา หรือสำนักปฏิบัติเลย
อ.อรรณพ เหมือนเป็นสัญลักษณ์หรือว่าเป็นความคิดว่า พระพุทธศาสนาในประเทศไทย คือการมีสำนักปฏิบัติหรือการทำสมาธิ
ท่านอาจารย์ ก็คงไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย เพราะว่าชาวต่างประเทศทั่วโลกก็คิดว่า พุทธศาสนาก็คือสำนักปฏิบัติ ต้องไปปฏิบัติ
อ.อรรณพ เเล้วต่างประเทศเขาก็ทำตามประเทศไทย
ท่านอาจารย์ เป็นผู้นำในทางในทางที่ไม่ถูกต้อง
อ.อรรณพ ถ้าเรากล่าวว่าเรื่องพุทธศาสนาในประเทศไทย ผมว่าครอบคลุมพุทธศาสนาทั่วโลกไปหมด เพราะเขาจะทำตามเมืองไทย เพราะคิดว่าเป็นเมืองพุทธศาสนารุ่งเรือง ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเขาเห็นว่า พุทธศาสนาคืออะไร ตรงนี้เป็นประเด็นที่ท่านอาจารย์นำมาดีมาก เพราะอย่างชาวต่างชาติที่สนใจพุทธศาสนา ยังไม่พูดว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ตอนที่เริ่มสนใจพุทธศาสนา ชาวต่างชาติ ก็คือคุณสุคินจะสัมผัสกับกลุ่มชาวต่างชาติเยอะ ที่สนใจเรื่องศาสนาด้วยกัน เขามองพุทธศาสนาว่าเป็นเรื่องที่จะต้องไปทำสมาธิ เข้าสำนักปฏิบัติใช่ไหม
คุณสุคิน ใช่ วันนี้ผมก็เพิ่งมาฟังครั้งแรก ที่อาจารย์คำปั่นอธิบายความหมายของศาสนาคือคำสอน จริงๆ แล้วถ้าเราพูดถึงพุทธศาสนา เราก็ต้อง คิดถึงคำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งผู้ที่ฟังว่า บุดดิซึ่ม (buddism) หรือว่า บุดดัสติเชียล เขาไม่ได้คิดถึงเลย เวลาเขาได้ยิน เขาก็อยากจะทำ ใครมาสอนให้ทำสมาธิ ก็อยากจะทำแล้ว เขาไม่สนใจเลยเรื่องจะเรียนจะศึกษา แล้วจะไปจริงๆ แล้วบอกว่าสนใจศาสนาได้อย่างไร ในเมื่อความหมายของศาสนาคือคำสอน
นั่นก็เป็นเพราะที่สอนกันอยู่ คือไม่ได้สอนให้เข้าใจ สอนให้ทำ แล้วพุทธก็เหมือนกับเป็นลาเบล (label) ยี่ห้อหนึ่ง เพราะว่ามันมีโยคะมีนี่มีโน้น คนก็อยากจะทำ อยากจะทำให้ตัวเองสบาย ที่เขาเรียกว่าจิตสงบ เพราะฉะนั้นเทคนิคของศาสนาพุทธ เป็นเทคนิคหนึ่งที่เขาสนใจ เพราะอะไร เพราะอยากจะได้ผล ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับปัญญาเลย ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับความเข้าใจ อยากจะเข้าใจ ไม่มีพูดถึงเลย แล้วถ้าพูดเรื่องความเข้าใจมา เขาก็จะมาแปลว่าเข้าใจ เขาจะบอกว่าเข้าใจหลังจากนั่ง นั่งไปเดี๋ยวก็เข้าใจเอง แต่เขาจะพูดอย่างนั้นอยู่ตลอด
อ.อรรณพ มีความเชื่อมั่น
คุณสุคิน แล้วถ้าถามว่า แล้วตอนนี้ๆ ๆ ได้ประโยชน์อะไร จิตสงบ แต่ถ้าถามว่า จิตสงบคืออะไร ก็ไม่เข้าใจ เข้าใจผิด จะบอกว่าไม่ฟุ้งซ่าน ไม่อะไร ก็อย่างนั้น เขาเห็นอย่างนั้น ไม่มีใครมาอธิบายให้พวกเขาฟัง ไม่มีใครมาให้เขารู้ว่าพุทธองค์สอนอะไรจริงๆ เขาก็เลยง่ายมากที่จะคิดว่า ที่เขาคิดว่าเป็นคำสอนก็คือคำสอน แล้วบุดดิ่ซึ่ม (buddism) คือนี้ คือการนั่ง เพราะว่าเขาเจอแต่นี่
อ.อรรณพ เจอแต่อย่างนี้
คุณสุคิน เจอแต่อย่างนี้
อ.อรรณพ มาก็เลยตามนี้ ก็อยากจะเรียนสนทนาคุณสุคินได้พูดถึง เรื่องการทำสมาธิ ซึ่งก็แพร่หลายทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเป็นพุทธศาสนาอย่างเดียว อยากให้คุณสุคินกล่าวถึงในเรื่องเมดิเตชั่น (meditation) ว่าทั่วไปคิดอย่างไร แต่ว่าเขามองศาสนาพุทธ ว่าเน้นเรื่องนี้อย่างมากเลย
คุณสุคิน คือเมดิเตชั่นที่เขาสอน ผมก็ไม่ว่า แต่อย่ามาเกี่ยวข้องบอกว่าเป็นคำสั่งของพระพุทธองค์ เพราะคำสอนของพระพุทธองค์คือให้เข้าใจ ไม่ใช่ให้ทำแล้วก็รู้สึกสบายใจแฮปปี้ ถ้าจะเป็นเมดิเตท (meditate) ผมไม่ว่า ทุกคนคนเขาอยากจะไปนวด อยากจะไปทำอะไรก็คือ เป็นผ่อนคลายธรรมดา เพราะฉะนั้นผมไม่ออฟเจค (object) ว่าอยากเมดิเตท (meditate) ไป แต่ถ้ามาบอกว่าพระพุทธองค์สอนให้ทำอย่างนี้
อ.อรรณพ แล้วเป็นทางหลุดพ้น
คุณสุคิน ไม่ใช่เลย พระพุทธองค์สอนตรงกันข้ามเลย เพราะสิ่งที่คุณทำคือติดข้อง พระพุทธองค์สอนให้เข้าใจแล้วละ มันเหมือนเรื่องตรงข้ามกันเลย เพราะฉะนั้นคุณอยากจะไปเมดิเตทๆ แต่นี่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธองค์
อ.อรรณพ เมดิเตท (meditate) ตู่ว่านี้เป็นคำสองพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมคุณสุคินถึงคิดว่า การไปทำสมาธิไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงว่า สมาธิก็เรียกว่าเป็นหนทางหนึ่ง หรือว่าเป็นองค์หนึ่ง ในหนทางคือมรรคมีองค์แปด เขาก็อ้างอย่างนี้กัน คุณสุคินจะช่วยอธิบายอย่างไร
คุณสุคิน สมาธิเราต้องเข้าใจว่าเป็น คือธรรมเป็นนามธรรม เป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง จะเกิดกับวิบากก็ได้ กุศล อกุศล กิริยาเกิดได้หมด หน้าที่ของสมาธิคืออะไร คือจับบนอารมณ์ ถ้าเราเข้าใจตรงนั้น เราก็รู้แล้วว่ามันไม่ได้ทำหน้าที่อะไรนอกจากนั้น เพียงแต่ว่าความแตกต่างอยู่ตรงที่สมาธิที่เกิดกับอกุศลก็เป็นอกุศล สมาธิที่เกิดกับกุศลก็เป็นกุศล สมาธิที่เป็นองค์มรรคก็ทำหน้าที่ของสมาธิ และเป็นหน้าที่ที่ใหญ่
อ.อรรณพ ซึ่งตรงนี้เขาก็อ้าง นี่ไงต้องมีสมาธิที่เป็นองค์ของการอบรมเจริญนี้ด้วย ก็ไปนั่งทำสมาธิกันไม่ดีหรือ จะได้สร้างสมาธิให้เกิดขึ้น
คุณสุคิน ไม่ดี เพราะสมาธิที่เป็นองค์ ก็เป็นเพราะมีปัญญาเกิดขึ้นพร้อมกัน มีปัญญาเป็นตัวนำ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นสมาธิที่ไม่มีปัญญา จะไม่เป็นประโยชน์ ไปทำทำไม
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นที่เขาบอกว่า เดี๋ยวนั่งๆ ทำสมาธิไป แล้วก็มีความสงบ แล้วก็จะเกิดปัญญาเอง ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
คุณสุคิน ก็ไม่ได้ ก็เพราะว่าสมาธิที่เกิดกับอกุศล ก็ไม่ใช่จะพาให้เป็นสมาธิที่เป็นกุศลหรือว่าเป็นองค์ได้ เพราะฉะนั้นถ้าสมาธิที่เกิดกับอกุศล มันก็เป็นสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่ง ก็จะไปหวังว่าที่ผิดจะอยู่ดีๆ วันหนึ่งเป็นถูกได้ คือเป็นความเข้าใจผิด
อ.อรรณพ คือว่าไปสะสมปรุงแต่งสมาธิที่เป็นอกุศล แล้วจะนำไปสู่ในทางกุศล นำไปสู่ในทางปัญญาได้อย่างไร
คุณสุคิน นั่นเป็นความฝันของคนที่เชื่ออย่างนั้น
อ.อรรณพ ความฝัน ความฝันที่ไม่มีวันจะเป็นไปได้ เพราะเป็นคนละทาง
ท่านอาจารย์ แล้วคุณสุคินคิดว่า ประโยชน์ที่ได้รับ จะช่วยให้คนอื่นได้ประโยชน์หรือไม่ หรือว่าจะช่วยทำให้พุทธศาสนาในประเทศไทยหรือประเทศอื่น ค่อยๆ ถูกต้องขึ้นได้บ้างไหม ในมื่อผิดเป็นส่วนใหญ่
คุณสุคิน ความจริงคือความจริง ซึ่งเป็นประโยชน์กับคนที่สะสมความเข้าใจมา มันก็จะไม่เป็นประโยชน์กับคนที่ไม่สะสมความเข้าใจมา เพราะฉะนั้นเราก็ต้องพยายามที่จะพูดความจริง เพราะเราไม่รู้ว่าใครฟังอยู่ ถ้ามีคนที่สะสมความเข้าใจมา ก็จะเป็นประโยชน์กับเขามาก ส่วนคนที่ไม่ได้มีการสะสมความเข้าใจ ก็จะไม่เป็นประโยชน์กับเขา คนที่เห็นผิดแล้วก็ติดยึด ติดในความเห็นผิดของเขา เขาก็จะไม่พอใจ เพราะอะไร เพราะเหมือนกับว่าสิ่งที่เขาคิดว่าถูก เรามาบอกว่ามันผิดไป เขาจะไม่พอใจ ส่วนนั้นเราก็ช่วยไม่ได้
อ.อรรณพ พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้
คุณสุคิน ใช่ แต่หน้าที่เราคือ พยายามแสดงความจริงตามที่พระพุทธเจ้าสอน
อ.อรรณพ ซึ่งผมเคยคุยกับคนที่เขามีความคิดอย่างนี้ว่า เขาเชื่ออย่างไร เพราะฉะนั้นก็จะต้องเป็นไปตามนั้น เขาเชื่ออย่างนั้นจริงๆ เชื่อว่าถ้าเกิดในสังคมตรงนี้ จะใช้คำว่าอย่างไรดีอาจารย์จักรกฤษณ์ เหมือนกับนิยามว่า อย่างนี้ดีก็ต้องดี ก็ไปมองเหมือนว่าเป็นกฎหรือเป็นความเห็นรวมๆ กันอย่างนี้ เขาไม่เข้าใจธรรมเลยคุณสุคิน เขาก็จะคิดว่าเขาชอบอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอย่างนี้ต้องถูก ต้องถูกตามความชอบเขา ไม่ได้เป็นไปตามสภาพความจริงธรรมนั้นๆ อย่างนี้ต้องกราบเรียนอาจารย์จะเกื้อกูลสักแค่ไหน
ท่านอาจารย์ ก็อย่างที่คุณสุคินพูด สำหรับคนที่สะสมมาที่จะเป็นคนที่ตรง และก็พิจารณาเหตุผลความถูกต้อง เพื่อประโยชน์ที่ว่า เกิดมาแล้วก็ต้องตายไป แล้วก็มีแต่ความเห็นผิดติดตามไป เขาอาจจะไม่รู้ว่าผิด เพราะฉะนั้นก็ควรจะฟังคำที่ได้ยิน แล้วก็ไตร่ตรองให้เข้าใจถูกต้องว่า ผิดคืออย่างไร ถูกอย่างไร มิฉะนั้นเขาก็จะไม่ได้สาระ
อ.จักรกฤษณ์ ขออนุญาตอาจารย์อรรณพครับ พูดถึงประเทศไทย เรานิยมที่จะทำตามๆ กัน โดยไม่ได้พิจารณาไตร่ตรองหรือไม่ได้ศึกษาอะไรให้ละเอียดถี่ถ้วน เห็นมีการทำมา โดยเฉพาะถ้ามีคนมากๆ ทำตามอย่างนี้ เขาจะตัดสินใจทันทีว่า ต้องถูกต้อง เพราะว่าคนส่วนใหญ่ก็จะทำอย่างนี้ แล้วก็ทำกันมานานแล้ว
อ.อรรณพ คือ ส่วนใหญ่จะตามๆ กัน
อ.จักรกฤษณ์ ใช่ ไม่ได้พิจารณา พอคิดอย่างนี้ ก็ละเลยที่จะไปดูเหตุผล จะไปดูรายละเอียดว่าที่ถูกต้องจะเป็นอะไรอย่างไรบ้าง อย่างเรื่องสมาธิที่เราคุยกัน ถ้าศึกษาให้ดี อันนี้ยกขึ้นมา อรรถกถาอันหนึ่งเขียนไว้ชัดเจน ซึ่งผมอยากจะยกตรงนี้ขึ้นมาว่า ถ้าศึกษา ต้องตั้งคำถามขึ้นมาว่า ทำไมพระพุทธองค์ถึงตรัสอย่างนี้ ขออนุญาตยกตรงนี้ขึ้นมาอ่านสั้นๆ ว่า
ในอรรถกถาสุสิมสูตร ท่านได้กล่าวอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอธิบายไว้ดังนี้ว่า สุสิมะ มรรคก็ตาม ผลก็ตาม ไม่ใช่เป็นผลของสมาธิ ไม่ใช่เป็นอานิสงส์ของสมาธิ ไม่ใช่เป็นความสำเร็จของสมาธิ เป็นถ้อยคำที่ถ้าเป็นคนไทยก็จะผ่านๆ ไป
อ.อรรณพ เพราะว่าไม่โดนใจ
อ.จักรกฤษณ์ ไม่โดนใจ อาจจะตรงข้ามกับที่ เขาก็มีหลายๆ ที่เรียกว่าเป็นสำนักปฏิบัติ เขาไม่ได้กล่าวตรงนี้เลย
อ.อรรณพ ผ่านเลย เราต้องอ่านอีกครั้งหนึ่ง
อ.จักรกฤษณ์ ตรงนี้ก็ย้ำอีกครั้งเลยว่า พระพุทธองค์ตรัสไว้กับสุสิมะ ซึ่งเป็นสาวกของพระพุทธองค์ แล้วตรัสว่า มรรคก็ตาม ผลก็ตาม ไม่ใช่เป็นผลของสมาธิ ไม่ใช่เป็นอานิสงส์ของสมาธิ ไม่ใช่เป็นความสำเร็จของสมาธิ นี้ย้ำไว้ แล้วพระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า มรรคหรือผลนี้เป็นผลของวิปัสสนา ซึ่งคำว่า วิปัสสนา อาจจะต้องขยายความต่อไปว่า โดยละเอียดคืออะไร เป็นอานิสงส์ของวิปัสสนา เป็นความสำเร็จของวิปัสสนา ฉะนั้นท่านจะรู้ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม ที่แท้ ธัมมัฏฐิติญาณ เป็นญาณในเบื้องต้น ญาณในนิพพานเป็นญาณภายหลัง ซึ่งตรงนี้ก็จะต้องอธิบายเพิ่มเติม แต่เราน่าจะพิจารณาในส่วนที่ว่า มรรคก็ตาม ผลก็ตาม อานิสงส์เกิดจากวิปัสสนา แต่ไม่ใช่สมาธิ ซึ่งตรงนี้มีอธิบายไว้ ซึ่งถ้าชาวพุทธได้พยายามศึกษาทำความเข้าใจหน่อย ก็จะเห็นว่า สำนักต่างๆ เขาทำสมาธิกัน มันใช่หรือเปล่า จะต้องตั้งคำถาม
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นมรรคผลนิพพาน ไม่ใช่ผลของสมาธิ เพราะว่าถ้ามรรคผลนิพพานเป็นผลของสมาธิ ก็ไม่ต้องมีการอุบัติของสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็มีท่านอาฬารดาบส อุทกดาบส ท่านก็เรียกว่าสูงสุดของสมาธิ แต่ท่านก็ยังไม่สามารถที่จะบรรลุ รู้แจ้งอริยสัจธรรม หรือถึงมรรคผลนิพพานได้เลย เพียงแต่ว่าพระองค์ตรัสว่า มรรคผลนิพพานถึงได้ด้วยวิปัสสนา ก็คือหนทางของการอบรมเจริญปัญญา แต่การอบรมเจริญปัญญา ก็มีองค์ของสมาธิควบคู่กันไปในตัว จึงทำให้คนสับสน แล้วไปเอาข้อความนี้มา นี่อย่างไรสมาธิ แล้วก็มีความเป็นตัวตนที่จะทำ เพราะฉะนั้นข้อความในสุสิมสูตรมีประโยชน์มากๆ
คุณสุคิน แต่ก็มีบางพวกที่เจอว่า สมาธิที่พระพุทธองค์สอน ไม่เหมือนสมาธิที่คนอื่นสอน และอาจจะยกพระสูตรนี้มาด้วยว่า ความหมายก็คือเหมือนเขามีสำนักปฏิบัติ ไม่ใช่แค่สำนักไปนั่งสมาธิ เขาจะใช้ชื่อว่าวิปัสสนาด้วย ไปนั่งวิปัสสนา ตรงนั้นเขาจะบอกว่า คือนั่งสมาธิ แต่เพราะเราเข้าใจ เราศึกษาธรรม เรามีความรู้ว่า สมาธินี้ไม่เที่ยง ก็คือเหมือนกับ แกบอกว่านั่งได้นั่ง แต่ก็มีความเข้าใจอีกอย่างหนึ่งว่าสมาธินี้ไม่เที่ยง เหมือนเข้าใจสมาธิว่าเป็นธรรม หรืออะไร แต่เขาไม่ได้ใช้คำว่าธรรม แต่ความหมายก็คือเหมือนกับว่า ความเข้าใจของพระพุทธศาสนากับสมาธิอื่น ไม่เหมือนกัน เพราะมันมีความเข้าใจอีกอย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา และของอื่นใช่ ไม่นำสู่มรรค แต่อันนี้นำสู่มรรค ก็คือช่วยกันเป็นสมาธิที่ช่วยปัญญา
อ.อรรณพ อาจารย์ก็ทำสมาธิมาเยอะ
อ.จริยา เคยได้ยินได้ฟังอย่างนี้ค่ะอาจารย์ บอกว่า ถ้าไม่เจริญสมาธิให้ถึงภาวะสูงสุดแล้ว จะไปเจอวิปัสสนาได้อย่างไร เพราะฉะนั้นการที่ ผู้ที่เขาบอกว่าต้องไปนั่งสมาธิหรือเจริญสมาธิก่อน เขาบอกว่าเมื่อไรที่เราเจริญสมาธิจนถึงสูงสุดแล้ว นั่นแหละเราก็จะสามารถที่จะเจริญวิปัสสนาได้อย่างรวดเร็ว ดิฉันก็เคยโต้แย้งว่า ในความเห็นของดิฉัน ตอนนั้นยังไม่พบท่านอาจารย์สุจินต์ ดิฉันก็โต้แย้งว่า ก็ในเมื่อตอนที่พระพุทธองค์ พระโพธิสัตว์กำลังแสวงหา ที่จะเรียกว่าโมกขธรรมอะไรก็ตามที ท่านก็พบสิ่งเหล่านั้นแล้ว จากอาฬารดาบส อุทกดาบส แล้วท่านก็ละมา แล้วบอกว่า นี้มิใช่ทางมิใช่หรือ แล้วใยเมื่อพระพุทธศาสนามีพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสรู้แล้ว เราทำไมถึงจะไปเดินเส้นทางที่ท่านละมา เขาบอกว่าไม่ใช่ๆ มีสิ่งที่พระพุทธองค์สอนเลยว่า ต้องสมาธิเสียก่อน เมื่อสมาธิแล้ว คล้ายว่าเป็นทางลัดสั้น แล้วก็จะไปสู่วิปัสสนา แต่ตอนนั้นยังไม่ได้พบท่านอาจารย์ แต่ก็รู้สึกแปลกๆ เพราะดิฉันก็รู้สึกว่า เราเป็นคนที่อ่านพุทธประวัติ เราก็เห็นว่าพระพุทธเจ้าละมาแล้ว แล้วทำไมเราต้องไปเดินวนก่อน แต่เขาก็ยังรู้สึกว่า ไม่ใช่หรอก
แต่ว่าพอหลังจากที่ศึกษาธรรมมาแล้ว ดิฉันก็คิดว่า ทำไมถึงไม่ศึกษาธรรมก่อน ก็เพราะว่ามันเป็นความง่าย ง่ายมาก เพียงแต่เข้าไปอยู่ในหมู่คน ก็นั่งสมาธิแล้วจะนั่งไปอย่างไร ถ้าเป็นดิฉันก็คือหลับ เพราะว่ามันสบายๆ แล้วก็อาจจะเป็นคนที่รู้สึกว่า มีความสงบง่าย ก็รู้สึกว่านั่นแหละภาวะสูงสุดของตัวเอง บรรลุแล้ว มีความรู้สึกอย่างนั้น แล้วพอคนที่เป็นคนสอน ถามอะไรต่างๆ เขาาก็จะบอก ทุกคนก็ยิ่งหลงระเริงในความรู้สึกว่า ฉันไปถึงชั้นโน้นชั้นนี้กัน อันนั้นเป็นสิ่งที่เมื่อเราผ่านมาแล้ว ก็บอกได้เลยว่า สิ่งนั้นถ้าได้ศึกษาธรรม ค่อยๆ เข้าใจ ไม่มีใครทำ แต่ว่าที่คนที่ทำ เพราะคนทั้งหลายชอบความง่าย ความสบาย การศึกษาธรรมนี้ยากยิ่ง ยากถ้อยคำ ยากทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็ยากในที่จะอดทนที่จะฟัง
เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่เคยฟังคำ อย่างที่ท่านอาจารย์สุจินต์ ท่านพยายามถ่ายทอดทีละคำ เราฟังมามาก ดิฉันฟังคำที่เอามาจากในพระไตรปิฎกมามากพอสมควร แต่เสร็จแล้วในที่สุด พอมาฟังท่านอาจารย์ก็ทราบเลยว่า คำเหล่านั้นที่เราฟังมา ฟังเเล้วก็ลืม เพราะเราฟังแล้วก็ท่องจำ อย่างที่อาจารย์คำปั่นบอก จำเพื่อสอบ จำเพื่ออะไร แม้ว่าเราไม่ได้จำเพื่อสอบ แต่เราก็จำเพื่ออยากจะจำให้ได้เยอะๆ มากๆ แต่พอมาฟังท่านอาจารย์แล้ว เราค่อยๆ เข้าใจ เราไม่ต้องท่องแล้ว ฟังทีละคำๆ แล้วเราก็ทราบว่าสิ่งเหล่านั้นผิด แล้วก็อย่างที่ท่านสุคินพูดว่า คนทุกคนที่เขายังไม่ได้สะสมมา ยากแสนยากที่เราจะไปบอกเขา ก็ค่อยๆ ชี้นำบอกเขาได้บ้าง แต่บางคนเขาก็โกรธเรา แล้วก็อาจจะทำให้เรา ถ้าเราไม่อดทนพอ เราก็โกรธเขาตอบด้วย แต่หลังจากที่ศึกษากับท่านอาจารย์มาสักระยะหนึ่ง ดิฉันก็รู้สึกว่า การที่จะบอกกับใครก็ต้องมีความรู้สึกมั่นใจว่า เขาอยากจะฟังสิ่งที่เราพูด แต่ก็ต้องเตรียมว่า ถ้าเขาพูดอะไรในสิ่งที่เรารู้สึกว่า ไม่น่าฟัง เราก็ต้องอดทน แต่ตอนนั้นจะอดทนหรือเปล่าก็แล้วแต่ บางครั้งมันก็ไม่ค่อยจะอดทน
อ.อรรณพ ก็อยากฟังความเห็นคุณสุคิน ทำไมคนถึงติดการทำสมาธิ ทำไมถึงติด
คุณสุคิน เมื่อสักครู่ตอนฟังอาจารย์จริยาอยู่ๆ ผมก็คิดถึง ที่อาจารย์สุจินต์กล่าวมาหลายครั้ง ว่าโลภะเป็นทั้งครู ทั้งลูกศิษย์
อ.อรรณพ ทั้งคนสั่งและคนทำตาม
