004 พระพุทธศาสนาในประเทศไทย
สนทนาพิเศษ
เรื่อง พระพุทธศาสนาในประเทศไทย
ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๔
คุณสุคิน เมื่อสักครู่ตอนฟังอาจารย์จริยาอยู่ๆ ผมก็คิดถึง ที่อาจารย์สุจินต์กล่าวมาหลายครั้ง ว่าโลภะเป็นทั้งครู ทั้งลูกศิษย์
อ.อรรณพ ทั้งคนสั่งและคนทำตาม
คุณสุคิน เมื่อสะสมโลภะมาเยอะ แล้วความเข้าใจน้อย ความไม่รู้เยอะ มันง่าย ง่ายที่จะไปยึดกับทางผิดๆ โลภะเยอะมาก จากที่ติดในกาม ติดในอย่างอื่นวัตถุ แล้วเรามาสนใจศาสนา เราก็มาติดอย่างอื่น ของใหม่ มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่มีความเข้าใจ ถ้าไม่มีปัญญา มันก็ต้องเป็นแบบนั้น
อ.อรรณพ ขอโทษนะครับ คุณสุคิน ถ้ามีคนย้อนคุณสุคินว่า คุณสุคินไม่ติดการศึกษาธรรมหรือ คุณสุคินจะตอบว่าอย่างไร ในเมื่อเราบอกว่าคุณเปลี่ยนจากการติดรูป เสียง กลิ่น รส อะไรๆ เรื่องราววัตถุการงาน มาติดการทำสมาธิ มาติดสำนักปฏิบัติ แล้วบอกว่า เราก็มาติดการศึกษาตำรับตำราอะไรกันอย่างนี้
คุณสุคิน รู้ตัวเองว่าเป็นคนติดกามมาก วันๆ จะอยากสนุกอย่างเดียว ฟังธรรมก็น้อย ผมก็ตอบได้ว่า การที่มาฟังธรรมกับการที่สนุก วันๆ นี้สนุกมากกว่าเยอะ เราเห็นความแตกต่างกัน ที่บางทีมานั่งฟังธรรม มันไม่ใช่แบบนั้น เป็นเพราะเราเห็นความสำคัญของความเข้าใจ เข้าใจความจริง ซึ่งรวมถึงโลภะด้วย ก็คือ ถ้าเราสนใจฟังเรื่องโลภะเมื่อไร และเห็นโทษของโลภะ ตอนนั้นก็ชี้ให้เห็นได้ว่าที่มาฟัง ไม่ใช่ฟังเพราะติด เพราะอยากจะเข้าใจ
อ.อรรณพ อาจารย์คำปั่นครับ พอคุยกับคุณสุคินตรงนี้ ผมก็นึกถึงเรื่องที่ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งท่านเป็นพระโสดาบันบุคคล ท่านก็ได้เข้าไปคุยกับพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก แล้วก็ต่างแสดงความเห็นกัน ท่านเศรษฐีก็ให้พวกปริพาชกนั้นแสดงความเห็นก่อน แสดงลัทธิไป แล้วท่านก็บอกว่าพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกพวกนั้น ยึดในลัทธิของตัวเอง พวกนั้นก็ย้อนว่า ท่านอนาถะก็ยึดความเห็นของตัวเองเหมือนกัน เขาก็ย้อนมาอย่างนี้ แต่ท่านอนาถบิณฑเศรษฐี ท่านตอบว่าอย่างไร นี่คือเราก็ยกตัวอย่างก็ในพระไตรปิฎกหมือนที่เราคุยกัน แต่คนก็ย้อนว่าคุณก็ติดเหมือนกัน ในหนทางคุณ ในรูปแบบครูบาอาจารย์ของคุณ ในแนวทางคุณ ในเมื่อเราไปว่าเขาติด แต่เมื่อสักครู่คุณสุคินตอบได้ลึกซึ้งมาก
อ.คำปั่น อาจารย์อรรณพครับ ในทิฏฐิสูตรก็แสดงถึงความจริงว่า ท่านอนาถบิณฑกเศรษฐี ท่านเป็นพระอริยบุคคล เป็นผู้ที่ได้รู้แจ้งธรรมตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นการที่ท่านได้แสดงความเห็นกับพวกอัญญเดียรถีย์ทั้งหลาย ที่ท่านได้กล่าวถึงความจริง เพราะว่าท่านได้เข้าใจธรรม ท่านได้เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นก็เป็นการแสดงถึงความจริงของปัญญาว่า เข้าใจความจริงจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่การยึดติด แต่ว่าเป็นเรื่องของปัญญาที่เข้าใจธรรมตามความจริง เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่สะดวกมาก สำหรับการที่จะกล่าวตามความเป็นจริง ตามพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะว่าได้เข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความจริงนั่นเอง
อ.อรรณพ ผมก็ประทับใจคำที่ท่านเศรษฐีท่านกล่าวด้วยว่า ท่านเห็นด้วยปัญญาอันยิ่ง กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ การที่ต่างฝ่ายต่างว่า เราไปบอกว่าเขาติดสมาธิ ติดสำนักปฏิบัติ เราก็ติดรูปแบบของเราเหมือนกัน แล้วจากที่ฟังข้อความที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้แสดงความเข้าใจท่าน ในเรื่องตรงนี้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่เพราะติดยึด แต่ความเข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ต่างคนก็ต่างคิดและต่างคนก็ยึดมั่นในความเห็นของตนตามการสะสม แต่ถ้าเป็นผู้ที่ตรงก็คือว่า พูดถึงสิ่งที่มีจริง และรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นใครจะยึดถือความเห็นอย่างไรก็ตามแต่ แต่ถ้าถามถึงสิ่งที่มีจริงแล้วเข้าใจถูกต้อง นั่นหมายความว่าคนนั้นไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเองแน่นอน ต้องได้จากการฟังพระธรรม แล้วก็ค่อยๆ พิจารณา
เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าใครถูก คนในโลกนี้ก็มีคนฉลาดเยอะแยะ นักปราชญ์มากมาย ต่างคนก็ต่างคิดว่าคนนั้นถูก แต่คำจริงที่กล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะสอบถามได้ ว่าขณะนี้ถ้าสมมติเข้าใจว่าสมาธิจะนำไปสู่ปัญญา แต่สมาธิคืออะไร ต้องตอบก่อน โดยมากจะไม่ตอบว่าเป็นธรรม ใช่หรือไม่ เพราะถ้าเป็นธรรมก็ต้องเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นใครจะไปทำสมาธิให้เกิดขึ้นได้ สมาธิหรือสภาพธรรมใดๆ ก็ตาม ที่ขณะนี้กำลังปรากฏ เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัยทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างมั่นคง ก็เป็นเรื่องที่ว่าต่างคนก็ต่างยึดถือในวาทะ ความคิดเห็นของตนเอง แต่ถ้าเป็นผู้ตรงๆ เมื่อไร และรู้ว่าประโยชน์ที่สุดคือการเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ความเห็นของเรา ก็จะรับฟังความเห็นอื่น แล้วก็พิจารณาไตร่ตรอง แล้วก็ไม่ข้ามสักคำเดียว เพราะเหตุว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของทุกอย่างที่มีจริง เกินกว่าที่เราคิดหรือจะประมาณได้
เพราะฉะนั้นที่ทรงแสดงพระธรรมไว้ ๔๕ พรรษาทุกคำเป็นคำจริง ไม่ว่าจะกล่าวถึงเรื่องศีล ก็ต้องตั้งต้นว่าคืออะไร ก่อนอื่นคืออะไรก่อน แล้วถึงจะกล่าวถึงความละเอียดลึกซึ้งของสิ่งนั้นได้ ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าคืออะไร เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่กล่าวมาก็ด้วยความไม่รู้
อ.อรรณพ ดีมากเลยนะครับ เมื่อสักครู่ก็ประทับใจที่คุณสุคินกล่าวว่า อย่างในชีวิตประจำวันก็มีความติดข้องมากมาย คุณสุคินก็คงรู้จักกันก็ชอบฟังเพลง ชอบอะไร ดูภาพยนตร์อย่างนี้
ท่านอาจารย์ แล้วอะไรรู้
อ.อรรณพ ปัญญา
ท่านอาจารย์ ปัญญา ไม่อย่างนั้นคุณสุคินก็จะไม่กล่าวอย่างนี้ จนกว่าเมื่อมีปัญญาแล้วจึงกล่าวได้ว่า ทั้งวันก็เป็นธาตุของโลภะ มีความติดข้องมากมาย
อ.อรรณพ จากทุกคนที่ติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส อะไรต่ออะไร ดูหนังฟังเพลง อาหารดีดนตรีเพราะ อะไรกันทุกอย่าง แล้วมาสนใจธรรม ถ้าเขาไป สนใจในแนวอย่างนี้ เช่นไปนั่งสมาธิไปจดไปจ้องไปทำอย่างนี้ เราก็บอกว่านี้เข้าไปติดข้องอันใหม่นะ มันเป็นความติดข้องที่ไปติดข้องอันนี้ เขาไม่ได้เข้าใจ แต่การที่มาฟังธรรมในขณะนั้น ไม่ใช่ความติดข้อง แต่เป็นความเห็นประโยชน์ เขาก็จะมีความรู้สึกว่า เขาก็อุตส่าห์ละการติดข้องรูป เสียง กลิ่น รส อะไรๆ ไป เขาก็ไปใฝ่ดี ทำดีอะไรอย่างนั้น แต่เราก็บอกว่านี่เป็นความคิดนะ เหมือนท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านก็บอกว่าพวกอัญญเดียรถีย์กำลังยึดถือในลัทธิของตัวเอง แต่พอพวกนั้นย้อนท่านมา ท่านก็บอกว่าท่านไม่ได้ยึดถือ แต่ท่านเข้าใจด้วยปัญญาอันยิ่ง ตามความเป็นจริง ในหนทางที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ เดียรถีย์นั้นก็เงียบไป นั่งเงียบไป
คุณสุคิน เราตอบอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเราไม่ได้เป็นพระอริยะเหมือนท่าน เรายังไม่เห็น และยังไม่เข้าใจ
อ.อรรณพ เราจะตอบในระดับของเรา
คุณสุคิน จริงๆ แล้วธรรมไม่เกี่ยวกับเราหรือเขา ธรรมคือธรรม เพราะฉะนั้น ข้อพิสูจน์ก็คืออยู่ตรงที่ว่า เวลาที่ศึกษา เราศึกษาเรื่องธรรม ศึกษาความจริง ความสนใจอยู่ตรงที่เข้าใจตัวธรรม เพราะฉะนั้นคำถามว่า เรามีความติดข้องในการศึกษา มันไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะถ้าความติดข้องเกิด มันก็คือความจริง ใช่ไหม ก็คือตรงนั้นที่เราศึกษา เราไม่ได้ไปศึกษา เกี่ยวกับคนนี้หรือคนนั้น เราศึกษาธรรม ตรงนั้นก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า ความแตกต่าง
อ.อรรณพ เป็นความจริง คือเป็นสภาพธรรม ความจริงแต่ละอย่างที่เขาเกิดขึ้นตรงนั้น ศึกษาตรงนั้น
คุณสุคิน ใช่ ศึกษาธรรม และนี้เป็นคำสอนของพระพุทธองค์
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นถ้าในเรื่องของการติดการทำสมาธิ อาจารย์จักรกฤษณ์จะช่วยสรุปหน่อยได้หรือไม่ ว่าทำไมคนถึงติดการทำสมาธิกัน เพราะว่าจากหลายๆ ท่าน
อ.จักรกฤษณ์ คนเราพร้อมที่จะติดอยู่ทุกอย่าง เพราะว่าโลภะ ความติดข้องมี แต่ละคนแต่ละท่านมีมากมายมหาศาล แต่เราไม่ทราบ ก็พร้อมที่จะติดทุกอย่าง เมื่อเจอสิ่งที่มีความสุข ทำให้เกิดความสุขในแต่ละรูปแบบ ทุกคนก็ติดข้อง เพราะว่าติดข้องในความสุข การทำสมาธิ ก็ทำให้เกิดความสุข เกิดความสุขที่เรียกกันว่าความสงบ คือทำให้สบาย จิตใจไม่ไปกังวล
อ.อรรณพ ไม่ต้องไปคิดเรื่องงาน เรื่องเครียด เรื่องอะไร ทุกอย่างชั่วคราว
อ.จักรกฤษณ์ ไม่มีเลย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย อาจารย์อรรณพลองนึกดูว่าสมมติถ้าทำได้ คือมีความคิดอยู่กับเรื่องเดียว เรื่องใดเรื่องหนึ่ง มันดิ่ง คือติดอยู่กับตรงนั้นไปนานๆ มันจะทำให้เกิดความสุข มีความโสมนัส ยินดีในสิ่งที่ปรากฏนั้นมาก โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยพบสิ่งเหล่านี้มาก่อน คือคนที่คิดวุ่นวายทั้งวัน แต่ทำให้เกิดความสงบในประเภทนี้ เขาจะเกิดความสุขปิติมากเลย ก็จะมีอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น จะมีความสุข สุขแบบไม่เคย บางคนอาจจะกล่าวว่าไม่เคยพบมาก่อน ซึ่งตรงติดแน่นอน เพราะว่ามันสุขกว่าไปดูหนัง สุขกว่าไปทานอาหาร สุขกว่าสิ่งอื่นๆ เพราะว่าตรงนี้มันเป็นอะไรที่ อาจจะอธิบายลำบากนิดหนึ่ง แต่ว่ามีความสุข ลึก ลึกซึ้ง ดังนั้นไม่มีทางที่จะไม่ติด ถ้าใครได้เจอ ได้พบ แล้วแต่ละท่านที่ทำมาผิดๆ ท่านก็จะเจอมาแล้วทั้งนั้น ก็จะเอามาถ่ายทอดว่า นี่แหละคือความสุขที่จะนำไปสู่สิ่งต่างๆ แล้วก็อ้างว่า จะนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่าปัญญา
อ.อรรณพ แล้วเขาก็บอกว่าต้องเป็นการรู้ได้ด้วยตัวเอง
อ.จักรกฤษณ์ เป็นปัจจัยตัง ต้องรู้เอง จะมาถามอย่างไร ก็จะอธิบายไม่ได้ แต่จะบอกว่าเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล
อ.อรรณพ อธิบายไม่ได้หรอก ต้องไปทำเอง รู้เอง
อ.จักรกฤษ์ ไปพบเอง
อ.อรรณพ เอาคำว่าปัจจัตตังมาด้วย
อ.จักรกฤษณ์ อธิบายง่ายอย่างนี้ ใครๆ ก็พูดได้ง่ายมากเลย จะถามว่าจะเกิดผลอย่างไร เดี๋ยวเป็นปัจจัตตัง ทำไปเรื่อยๆ
อ.อรรณพ แต่จริงๆ แล้ว การที่เขาพูดออกมาเองว่า เขาก็บอกไม่ได้ว่าเป็นอย่างไร เขาก็ไม่รู้อย่างนี้เป็นอย่างไร เราก็ต้องไปทำเอง เขาก็บอกอยู่แล้ว นั่นก็คือเป็นเสียงที่ออกมาจากความไม่รู้ ที่เปล่งออกมาเป็นวาจาว่า ไม่รู้สิว่าอย่างไร เขาอธิบายไม่ได้ แต่ถ้าเป็นความจริง ความตรง ต้องอธิบายได้ ถ้าอธิบายไม่ได้ ก็ต้องเป็นความไม่รู้ และความไม่รู้นั้นเกิดกับโลภะ เกิดกับความยึดถือผิด ทั้งความไม่รู้คือความติดข้อง แล้วก็มีความยึดถือผิด เห็นผิดเข้าไปอีก นี่ก็คือเป็นตัวธรรมที่เป็นคำตอบว่า ทำไมถึงติดการทำสมาธิ ก็ด้วยความติดข้อง ซึ่งประกอบด้วยความไม่รู้ และถ้ามีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย ก็ยิ่ง ยึดถือยึดมั่น ที่นี้อย่ามาบอกเลยนะว่าอันนี้ไม่ถูก
ก็นึกถึงที่เราคุยกันว่า พระพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นอย่างไรบ้าง ในทัศนะของที่เราได้ศึกษาพระธรรมกันมาอาจารย์จริยา เมื่อสักครู่ที่อาจารย์กล่าว ตอบค้างอยู่กันในเรื่องของการทำสมาธิ แต่ที่จริงเขาเข้าใจกันอย่างนี้หมดเลยว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ทำศีลก่อน ก็ทำสมาธิ แล้วก็จะเกิดปัญญา
อ.จริยา จริงๆ แล้ว ในขณะที่คนไปทำ ดิฉันบอกได้เลยว่า ศีลคืออะไรก็ไม่ทราบ เพราะรู้แต่ว่าเหมือนเรียนกันสมัยก่อนว่า ศีลคือข้อห้าม
อ.อรรณพ ที่คุณสุคินบอกว่าเป็นข้อๆ
อ.จริยา หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้าม ใช่ไหมคะ ดิฉันต้องบอกจริงๆ เลยว่า ไม่เคยได้ยินใครพูดถึงศีลว่า ความเป็นปกติ กุศลศีล อกุศลศีล ได้ยินครั้งแรก ตื่นเต้นมาก ว่านี่อะไร เราเกิดมาแล้วเราก็คิดว่าศึกษาธรรมมาพอสมควร ทำไมเราไม่เคยได้ยินคำนี้ ก็ฟังแล้วฟังอีก ว่าฟังผิดหรือเปล่า สมัยก่อนก็ฟังวิทยุ กว่าจะรออัดเทปเอาไว้แล้วฟัง ฟังแล้วทบทวนตั้งหลายรอบ ก็รู้สึกว่า เข้าใจผิดมาตลอด ค่อนชีวิตของเรา อย่างที่ท่านอาจารย์อรรณพบอก ว่าเวลาที่เราไปปฏิบัติธรรม ไปทำสมาธิ เขาก็จะบอกว่า เริ่มจากที่คุณต้องทำศีล ถือศีล แล้วก็ต้องมีรูปแบบการถือศีล แล้วถึงจะนั่งสมาธิ เมื่อคุณนั่งสมาธิแล้ว นั่นแหละปัญญาจะเกิดขึ้นเอง
ซึ่งตอนนั้นด้วยความหลงยังมี ก็ทำไป ทำแล้วทำเล่า แต่พอทำไปทำมา เราก็รู้สึกเอง เริ่มรู้สึกว่า แล้วเราไปทำไม แต่ถามตัวเองแล้วก็ยังไป ไม่ใช่ไม่ไป เพราะฉะนั้นคิดว่าเมื่อไรที่ได้ศึกษาธรรม เพียงเริ่มเข้าใจบ้าง คิดว่าไม่มีใครไม่ละสิ่งที่ผิด ก็อยากละ แต่ที่ยังไม่ละ เพราะไม่ทราบว่านั่นคือสิ่งที่ผิด สิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะมีคนพูดกรอกหูเราตลอดเวลาว่า เมื่อไรที่มีศีลแล้วก็มีสมาธิ แล้วก็จะไปสู่ปัญญาได้
การที่ท่านอาจารย์ ท่านถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ ดิฉันคิดว่า ท่านผู้ฟังทั้งหลาย ถ้าได้ค่อยๆ พิจารณาในคำที่ท่านอาจารย์เริ่มถ่ายทอดตั้งแต่เริ่มแรก ก็คือคำว่า ธรรมคืออะไร เพราะดิฉันจะบอกหลายๆ คนเสมอ ที่เขาเริ่มจะฟังท่านอาจารย์ว่า ก่อนอื่นต้องฟังสิ่งที่ท่านอาจารย์ถ่ายทอดคำว่า ธรรมคืออะไรก่อน เมื่อไรที่เราเข้าใจว่า ธรรมคือความจริง จริงอย่างไร ความระเอียดของสิ่งเหล่านี้ เพื่อจะทำให้คนที่สนใจ ดิฉันคิดว่า ไม่มีใครที่ไม่อยากรู้ความจริง แต่เพราะไม่รู้ว่า มีความจริงอยู่ จึงไม่ต้องคิด เขาก็คิดว่าเกิดมาเขาก็ลืมตาเห็นอย่างโน้นอย่างนี้ ทำไมท่านอาจารย์ถึงจะบอกว่า เราลืมตามาก็เจอแต่โลภะ เพราะเขาไม่เห็นจะโลภะอะไร อย่างดีเขาอาบน้ำแต่งตัว ไม่เห็นจะไปอยากได้อะไร ตอนนั้นก็คิดว่าอย่างนั้นก็คงจะใช่ แต่พอท่านอาจารย์บอก ก็ลืมตามา เอื้อมมือก็ไม่อยาก จะเอื้อมมือทำไม ก็แค่คำอย่างนี้ ถ้าเราค่อยๆ พิจารณาไตร่ตรองที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ดิฉันคิดว่าน่าที่จะ เข้าใจได้ไม่ยาก ถ้าตั้งใจที่จะเข้าใจที่จะฟัง ท่านที่ฟังท่านอาจารย์สุจินต์แล้วบอกว่ายาก คิดว่าเพราะไม่ตั้งใจฟัง เมื่อไม่ตั้งใจฟังก็ไม่เข้าใจ
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ ที่สนทนากันมาก็คือ พระพุทธศาสนา อย่างหลักๆ คือในประเทศไทย เรียกว่าเป็นหลักให้กับต่างประเทศกันด้วย ก็บอกได้ว่าพุทธศาสนาก็สอนเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา แล้วก็มีความเข้าใจว่า ต้องทำศีล ทำสมาธิ แล้วก็จึงจะเกิดปัญญา แต่ความถูกต้องในคำสอนที่เป็นศีล สมาธิ ปัญญา ความเข้าใจที่ถูกต้อง คืออย่างไร
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ฟังพระธรรมไม่มีทางรู้เลย ใครจะไปพูดอย่างไร ก็อธิบายกันไป แต่ว่าถ้าได้ฟังพระธรรมเมื่อไร ก็จะรู้ว่าทุกคำละเอียดลึกซึ้งมาก ไม่สามารถจะเข้าใจได้ด้วยการคิดเอง หรือพอได้ยินคำอธิบาย ก็คิดว่าถูกต้อง แต่ต้องเข้าใจละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ด้วยการซักถาม ไต่ถาม อย่างที่คุณสุคินบอกว่า เขาไม่รู้หรอก คำว่าสมาธิก็เป็นลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นเจตสิก แค่นี้เขาก็ไม่รู้
เพราะฉะนั้นจะเป็นเขาที่ทำ ไม่มีทางที่จะรู้ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่าง ถ้ามีคนถามคุณสุคินว่า พระพุทธศาสนาที่เมืองไทยเป็นอย่างไรบ้าง คุณสุคินจะบอกว่าอย่างไร
คุณสุคิน ผมก็จะบอกว่า พระพุทธศาสนาจริงๆ หายาก
ท่านอาจารย์ เป็นคำตอบที่ถูกต้อง ให้เขาเข้าใจถูกต้องว่าหายาก เพราะฉะนั้นไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ไม่ใช่ง่าย และที่ทำๆ กันอยู่ ก็ไม่ใช่พระพุทธศาสนาเพราะเหตุว่าหายาก
อ.อรรณพ คำตอบสั้นๆ ว่า พระพุทธศาสนาจริงๆ หายาก ก็ต้องสนทนาถามคุณสุคินต่อ พระพุทธศาสนาจริงๆ คืออย่างไร แล้วหายากอย่างไร แล้วจะหาสิ่งที่ถูกต้องนั้นได้อย่างไร
คุณสุคิน พระพุทธศาสนา คือคำสอนที่พูดถึงความจริงที่ปรากฏ คือปัจจุบันธรรม ชีวิตเราตอนนี้ ก็เราพูดอย่างนี้ ถ้าเขาสนใจก็พูดต่อ แต่ส่วนใหญ่จะไม่สนใจ และไม่มีใครสนด้วย นอกจากอาจารย์สุจินต์ ก็เห็นได้เลยว่าไม่เข้าใจตรงนี้ ไม่เข้าใจว่าธรรมคือตรงนี้ ตอนนี้ ก็แปลว่ายังไม่เข้าใจธรรม แต่ถ้าใช้อ้างว่าสอนธรรมอยู่ ก็ไม่ใช่ธรรมจริง ก็คือเราค่อยๆ พูด เราต้องดูว่าเขาสนใจไหม บางทีอาจารย์บอกไม่ต้องใช้คำว่า พระพุทธศาสนาก็ได้ พูดว่าอยากจะเข้าใจความจริงไหม ถ้าเขาสนใจที่จะเข้าใจความจริง ก็ให้เขารับทราบว่า พระพุทธองค์ทรงสอน ความจริงคืออะไร
อ.อรรณพ เชิญอาจารย์คำปั่น
อ.คำปั่น ขออนุญาตในคำตอบที่ท่านอาจารย์ได้ถามคุณสุคิน ก็แสดงถึงความจริงว่า พระพุทธศาสนาจริงๆ หายาก แม้ในสมัยพุทธกาลเอง พระองค์ก็มีการตรัสถึงพระดำรัสนี้ด้วย พระองค์ก็ตรัสว่า การมีโอกาสได้ยินได้ฟังพระสัทธรรม คือการได้ยินได้ฟังพระธรรม เป็นสิ่งที่หาได้ยาก ซึ่งในอรรถกถาก็อธิบายเพิ่มเติมว่า ที่หาฟังได้ยาก เพราะเหตุว่าผู้ที่จะกล่าวธรรมตามความเป็นจริงนั้นหายาก
ท่านอาจารย์ ก็น่าคิด แม้แต่เพียงคำสั้นๆ ถ้ามีผู้ถามว่า พระพุทธศาสนาในประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้าง ก็คือหายาก
อ.อรรณพ ซึ่งที่อาจารย์ปั่นกล่าวมา ผมว่าเป็นอะไรที่เตือนใจว่า การอุบัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายากยิ่ง แล้วการที่จะมีผู้ที่กล่าวธรรมวินัยตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยากยิ่ง เพราะฉะนั้นก็เป็นคำตอบที่เป็นภาษาธรรมดา คุณสุคิน ถ้ามีผู้มาถามว่าพระพุทธศาสนาในประเทศไทยเป็นอย่างไร ก็ตอบว่าพระพุทธศาสนาที่แท้จริง จริงๆ ในเมืองไทยหรืออาจจะที่อื่นด้วยก็ได้ หายากเพราะว่าการที่จะมีผู้กล่าวพระธรรมที่ตรง ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงก็หายาก แล้วการที่จะมีผู้ฟังก็หายากด้วย ท่านแสดงไว้ด้วย ผู้ที่จะฟังจะเห็นประโยชน์ในธรรมที่หายากที่จะได้ฟัง ท่านอาจารย์ครับ จะว่าหายาก ถ้าจะคิดไปในมุมกลับ อย่างน้อยที่มูลนิธินี้ ก็เผยแพร่ออกทั้งวิทยุ โทรทัศน์มากมายเยอะแยะ จะบอกว่าหายากได้อย่างไร
ท่านอาจารย์ ก็ลองเทียบดูที่มูลนิธิทำ กับทั่วโลกหรือทั้งประเทศไทยมากหรือน้อย เทียบกับคำสอนซึ่งไม่ได้สอนให้เข้าใจธรรม แต่ให้ทำ ไม่ใช่เข้าใจ ให้ทำสติ ให้ทำสมาธิ ให้ทำปัญญา แต่ว่าไม่ได้ให้เข้าใจอะไรเลย เพราะฉะนั้นถ้าเทียบส่วน หายากไหม ไม่ใช่ว่าทุกคนฟังธรรม ถ้าทุกคนฟังธรรม หาไม่ยาก แต่นี่ทุกคนไม่ได้ฟังธรรม มีแต่จะทำ ไม่ใช่เข้าใจ
