002 พระพุทธศาสนาในประเทศไทย
สนทนาพิเศษ
เรื่อง พระพุทธศาสนาในประเทศไทย
ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๒
คุณสุคิน ที่เราเรียกว่าอยากจะเข้าใจชีวิต ก็คือไม่พ้นจากนี่ ก็มีจริงอยู่แค่นี้ ก็มารู้ว่าหนทางก็คือแค่นี้ ถ้าจะเข้าใจก็คือเข้าใจธรรมตรงนี้ ไม่มีอื่นแล้ว ไม่มีทางอื่นแล้ว ไม่ใช่นี่ก็คือแค่คิดของเราเอง เพราะฉะนั้นศาสนาอื่นที่ไม่ได้สอนเรื่องนี้ ก็เท่ากับว่าแค่คิดเอาเอง
อ.อรรณพ แล้วก็ยังไม่ได้รับคำตอบจากที่คุณสุคินได้มีไว้ในใจว่า เกิดมาแล้วก็ไม่ได้อยากจะอยู่ไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้อะไร แต่อยากจะเข้าใจชีวิต ก็เลยได้เข้าใจว่า ชีวิตคืออะไรจากพุทธศาสนา
คุณสุคิน ตอนนั้นที่คิดว่า อยู่ไปเรื่อยๆ ก็ยังไม่ได้เข้าใจเหมือนกัน เราแค่คิดว่า เกิดมาหาเงินแล้วตายไป ก็เคยเดินไปตลาดร้านค้า เห็นผู้ใหญ่อายุมากนั่งอยู่ที่ร้าน ดูแลร้าน ผมก็คิดว่าไม่อยากจะแก่และเป็นแบบนี้ นั่นคือตอนที่หนุ่มอยู่ แต่ก็ยังไม่ได้เข้าใจว่า อะไรควรอะไรไม่ควร แต่เรายังคิดว่าตอนนั้นเหมือนกับว่า ก็แสวงหาปรัชญานี้ ปรัชญานั้น เพราะไม่เข้าใจ มันเหมือนเห็นเห็นว่าไม่ชอบนี้ แต่ในเมื่อเรายังไม่รู้จักธรรม เราก็จะไปหาอย่างอื่นซึ่งผิด ก็ยังผิดอยู่
เพราะฉะนั้นที่หลังจากเข้าใจธรรมแล้ว จะบอกว่ามาเริ่มเข้าใจที่เราคิดว่า เราอยากจะเข้าใจ ก็ไม่ใช่ เพราะตอนนั้นเราก็ไม่เข้าใจ มันเหมือนว่าเข้าใจธรรม มารู้ว่าได้ยินเรื่องที่เรา ถ้าไม่ได้ยินจะไม่รู้เลย คิดออกไม่ได้เลย คิดไม่ได้เลย เหมือนธรรมเป็นสิ่งที่ว่า ถ้าฟังแล้วเข้าใจแล้ว จะรู้ว่าถ้าไม่มี ไม่ได้ฟังจะไม่รู้เลย จะอยู่ในความมืด และมัวแต่คิดเรื่องนี้เรื่องนู้น แล้วพยายามหาหนทางนี้หนทางโน้น ซึ่งจะเป็นด้วยความไม่รู้ และเป็นหนทางผิด
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นที่คุณสุคินได้ หรือว่าตัดสินใจนับถือพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ก็เมื่อได้เข้าใจว่าพระพุทธศาสนา สามารถแสดงความจริง ซึ่งเป็นคำตอบในชีวิตที่คุณสุคินมุ่งหามา จากการศึกษาคำสอนต่างๆ ซึ่งก็เป็นความคิดไปตามความเห็นของแต่ละศาสนาไป แต่ว่าในพุทธศาสนา ได้ให้คำตอบที่เป็นที่ประทับใจคุณสุคิน ก็คือขณะนี้เอง แต่ละขณะนี้เปลี่ยนชีวิต
คุณสุคิน ใช่ คือความแตกต่างก็อยู่ตรงนี้ ตรงที่ว่าธรรมสอนให้เข้าใจความจริง สอนเรื่องความจริงให้เข้าใจความจริง และที่สนใจก็คือเพราะมันความจริง แล้วเรามีการเชื่อว่า เป็นเพราะเรามีการสะสมที่จะสนใจที่จะเข้าใจความจริง ไม่อย่างนั้นเราจะพูดแต่เรื่องความจริง แต่เมื่อไร และได้ฟังธรรมแล้วก็ไม่สน ก็เท่ากับไปตามความคิดเรา เวลามาฟังธรรมก็มารู้ว่าคิดเองไม่ได้ ต้องฟังต่อไปเรื่อยๆ และไม่มีอะไรมีค่ามากกว่านี้แล้ว
อ.อรรณพ เป็นที่ซาบซึ้งที่คุณสุคินพูดมา เพราะฉะนั้นอย่างคุณสุคินก็เป็น มุมมองของผู้ที่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนามาก่อน และมุมมองแรกที่ยังไม่ได้เข้าใจพุทธศาสนา ก็มองว่าศาสนาพุทธก็เป็นศาสนาหนึ่ง เป็นคำสอนหนึ่งในบรรดาศาสนาทั้งหลาย ด้วยความที่เรียกว่ายังไม่ได้เข้าใจ แล้วก็ไปศึกษา ไปทำอะไรต่ออะไรต่างๆ มา เพราะด้วยความไม่รู้ แล้วก็ด้วยความเป็นตัวเราที่อยากให้ตัวเรามีอะไรดีๆ เกิดขึ้นกับการนั่งสมาธิบ้าง หรืออะไรอย่างนี้ ใช่ไหม แต่มุมมองของปัญญาเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว ปัญญานั้นได้มองถึงสาระความเป็นจริง ของพระธรรมคำสอน ที่แสดงให้เข้าใจชีวิต ขณะนี้แต่ละขณะโดยละเอียด แล้วคุณสุคินซึ่งไม่ได้นับถือพุทธศาสนามาก่อน ก็นับถือด้วยความเข้าใจในพระพุทธศาสนา
ก็อยากจะเรียนสนทนาการกับอาจารย์คำปั่น เพราะอาจารย์คำปั่นก็คงเหมือนผม แต่ว่าจะใกล้ชิดกว่าตรงที่ว่า เป็นชาวพุทธโดยกำเนิด เกิดมาคุณพ่อคุณแม่ พวกเราก็เป็นชาวพุทธหนึ่ง แล้วอาจารย์คำปั่นก็ไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยการบวชเป็นสามเณร และบวชเป็นพระภิกษุ เรียกว่าอยู่กับพุทธศาสนามาอย่างนั้น อยากฟังมุมมองของอาจารย์คำปั่นบ้างว่า ในฐานะผู้ที่นับถือพุทธศาสนามาตั้งแต่อ่อนแต่ออก แล้วก็ได้ไปบวช ได้ไปเรียนต่างๆ มุมมองตอนนั้น มองพุทธศาสนาว่าอย่างไร ทั้งๆ ที่ใช้ชื่อว่านับถือพุทธศาสนาแล้ว และเมื่อมีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม พระวินัย ได้ศึกษา ที่ได้ฟังท่านอาจารย์แล้วมีการศึกษาจากพระไตรปิฎก มุมมองสองมุมต่างกันอย่างไร
อ.คำปั่น ก็เป็นชีวิตที่เกิดขึ้นเป็นไป โดยที่ไม่รู้ความจริงเลย แม้ว่าจะได้บวชในพระพุทธศาสนา ตอนที่เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ก็คิดว่าจะเรียนต่อในทางโลก ซึ่งผมก็คิดว่าก็เห็นญาติๆ ทั้งหลายหรือว่าผู้ใหญ่ทั้งหลาย ที่ท่านไปเรียนหนังสือก็คือไปบวช ก็คิดว่ามีทางเดียวที่จะทำให้ได้เรียนหนังสือ โดยที่ไม่คิดว่าจะเรียนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มุ่งที่ว่าทำอย่างไรที่จะให้ได้เรียนทางโลก นี่คือความคิด ซึ่งก็ไม่ถูกต้อง พอบวชเข้าไปแล้ว เป็นสามเณร
อ.อรรณพ แต่ตอนนั้นก็คิดว่า
อ.คำปั่น คิดว่าดี
อ.อรรณพ คิดว่าดีที่จะได้มีโอกาสเรียน
อ.คำปั่น ใช่ครับ โดยที่คิดว่าจะได้เรียน แต่ว่าไม่เคยคิดว่าจะเรียนอะไรที่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มุ่งที่ว่าจะเรียนในทางโลก นี่คือเป็นความคิดที่ไม่ตรงตามความจริง แม้แต่บวชเป็นสามเณรแล้ว ก็ไม่รู้ว่าสามเณรคือใคร ไม่ได้รู้อะไรเลย อาจารย์ให้เรียนอะไรก็เรียน ก็เรียนตามหลักสูตรที่มีให้ แล้วก็ไม่มีความเข้าใจในธรรมเลย ก็มีการเรียนภาษาบาลีในช่วงนั้น ได้เรียนภาษาบาลีตั้งแต่เบื้องต้นเลย ไวยกรณ์ เรียนตามลำดับ สอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ได้มีการเทียบเท่ากับมัธยมศึกษาปีที่ ๓ บวชมา ๓ ปีก็ได้เปรียญ ๓ ก็ไปเรียนต่อในทางโลก ซึ่งมุ่งเรียนทางโลก แล้วก็เรียนทางบาลีด้วย ทั้งๆ ที่วิชาที่เรียนก็คือที่เป็นภาษาบาลี ก็คือแปลจากพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ได้ใส่ใจ
อ.อรรณพ แล้วอาจารย์ไม่ผ่านตา ผ่านหู ผ่านใจ ความหมายที่แปลหรือ
อ.คำปั่น นี้คือเป็นตัวอย่างของความไม่รู้ที่ชัดเจนมาก แม้ว่าจะได้อ่าน แปลข้อความที่เป็นพระพุทธพจน์ที่เป็นพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่ว่าไม่ได้ใส่ใจในคำสอนนั้น มุ่งแต่ว่าจะแปลอย่างไรให้ถูกต้อง เพื่อไปสอบเท่านั้นเอง ซึ่งเป็นการศึกษาที่ผิด ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเข้าใจธรรมเลย ก็เรียนตามหลักสูตร ตามลำดับ ซึ่งแต่ละครั้งที่เรียน ทุกๆ ปีมีการสอบแล้วก็มุ่งที่จะสอบให้ได้ แปลให้ได้ แปลจากบาลีเป็นภาษาไทย แปลกลับจากภาษาไทยเป็นภาษาบาลี อยู่อย่างนี้ครับ ๘-๙ ปี ตามหลักสูตรที่มีให้ แต่ว่าไม่ได้มุ่งเพื่อเข้าใจธรรมเลย แต่มุ่งที่ว่าทำอะไรถึงจะให้สอบได้
นี่คือความไม่รู้ความจริง แทนที่จะได้สนใจศึกษาว่า นี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ควรจะสื่อสารเข้าใจจริงๆ ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้สอนไม่ได้มีความเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ก็มุ่งสอนว่า ต้องแปลอย่างนี้ เพื่อแปล เพื่อสอบ แต่ว่าไม่ได้มุ่งสอนให้เข้าใจความจริง
จนกระทั่งได้ลาสิกขามา แล้วก็มีโอกาสได้ฟังคำจริง จากที่ท่านอาจารย์ได้สนทนาได้แสดง ทำให้รู้เลยว่าที่ผ่านมาทั้งหมดผิดโดยตลอด ผิดโดยตลอด เพราะว่าไม่ได้เข้าใจเลยว่า พระพุทธศาสนาคืออะไร แม้ว่าจะผ่านคำเหล่านี้มา แต่ว่าไม่ได้ใส่ใจถึงความจริงว่า จริงๆ แล้วคืออะไร จนกระทั่งได้ฟังมาตามลำดับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากอย่างยิ่งที่จะได้เข้าใจ แต่ท่านอาจารย์ก็กล่าวถึงว่า การที่จะเข้าใจธรรมก็คือ เข้าใจตามกำลังปัญญาของตนเอง เข้าใจแค่ไหนก็แค่นั้น ขอเพียงเห็นประโยชน์ของการที่มีโอกาสได้ฟังคำจริง ซึ่งหาฟังได้ยาก ในที่สุดก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วก็เห็นถึงประโยชน์ว่า ประโยชน์จริงๆ กับการที่ได้ค่อยๆ เข้าใจจากคำแต่ละคำ ซึ่งเป็นคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีค่าอย่างยิ่ง เห็นประโยชน์ก็ศึกษาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
อ.อรรณพ ซึ่งที่ท่านได้ฟังความเห็นของทั้งสองท่าน ท่านหนึ่งไม่ได้เป็นชาวพุทธมาก่อน แต่อีกท่านหนึ่งเป็นชาวพุทธเรียกว่าตั้งแต่กำเนิดเลย แล้วก็ไปบวชเป็นสามเณร เรียนรู้การแปลภาษาบาลีเลย เรียกว่าก็อยู่กับวัด อยู่กับพระในวัดนั้น มุมมองของทั้งสองท่านแม้จะต่างกันโดยเรื่องราว แต่ว่ามุมมองแรก และมุมมองหลังนั้นก็เหมือนกัน มุมมองแรกก็คือเป็นมุมมองของความไม่รู้ มุมมองความอยาก ความไม่เข้าใจ แต่พอได้เข้าใจแล้ว ก็เป็นมุมมองของปัญญา ที่เห็นประโยชน์กับสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุด
ท่านอาจารย์ ไม่ทราบคุณจักรกฤษณ์ ยังไม่เคยสนทนากับคุณสุคินเลย ใช่หรือไม่
อ.จักรกฤษณ์ ยังเลย
ท่านอาจารย์ อยากฟังว่า มีความเห็นอย่างไรในเรื่องพุทธศาสนาในประเทศไทย
อ.จักรกฤษณ์ ในมุมมองของผม เพราะว่าท่านผู้ชมผู้ฟังอาจจะแปลกใจว่า คุณสุคินก็ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา แล้วก็จะมีศาสนาอื่นที่คุณสุคินนับถืออยู่ด้วยใช่ไหม ซึ่งตรงนี้อาจจะต้องอธิบายในหลักการสักนิดหนึ่งว่า ศาสนาของไทยมาจากคำบาลี ที่อาจารย์คำปั่นได้แปล ศาสนะคือคำสอน แต่ถ้าเป็นของภาษาอังกฤษ เขาใช้คำว่า รีลิเจี้ยน (Religion) รีลีเจี้ยน (Religion) มีรากศัพท์มาจากลาติน แปลว่าความเข้าไปเกี่ยวข้อง ผูกพัน อย่างลึกซึ้ง อาจจะด้วยความเลื่อมใสศรัทธา เป็นการเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่ไม่ได้แปลแบบของเราที่เข้าใจว่าเป็นคำสอน
ดังนั้นในส่วนนี้ คำว่า รีลิเจี้ยน (Religion) จริงๆ การเกี่ยวข้องก็แล้วแต่ว่า เราอยากจะเกี่ยวข้องแบบไหน คือเป็นทางเลือก ก็เป็นทางเลือกของคุณสุคินว่า เกี่ยวข้องกับศาสนานี้เพราะเหตุผลนี้ ศาสนานี้เพราะเหตุผลนี้ ตามคำสอนต่างๆ ซึ่งศาสนาที่เราเข้าใจในความหมายของคนไทย ก็จะมีหลากหลายมาก มีพุทธ มีคริสต์ มีอิสลาม มีฮินดู มีพราหมณ์ มีเยอะแยะ แต่ละศาสนามีเนื้อหาที่เน้นต่างกัน ยกเฉพาะของพุทธศาสนาของเรา เน้นในเรื่องของปัญญาอย่างเดียวเลย เน้นในเรื่องของความเข้าใจ
ดังนั้นเมื่อเรามีความอยากจะเกี่ยวข้อง ก็คืออยากจะเข้าไปทราบรายละเอียดต่างๆ เราไม่ใช้คำว่านับถือก็ได้ ใช้คำว่ามีความสนใจ แล้วก็อยากจะเรียนรู้ว่า สาระของคำสอนที่ได้มาเป็นอย่างไร ก็เข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่ได้เรียกว่านับถือโดยตรง เพราะว่าถ้านับถือ จะใช้กับศาสนาที่เขาเน้นในเรื่องของการบูชา เน้นในเรื่องของการที่จะให้เกิดประโยชน์ของสังคม อันนั้นเรียกว่านับถือ แต่ของศาสนาพุทธไม่ใช่ ศาสนาพุทธเน้นในเรื่องปัญญา ปัญญาก็จะเกิดจากการศึกษา ทำความเข้าใจใช่ไหม
ดังนั้นตรงนี้อาจจะทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า ที่คุณสุคินสนใจ เราไม่เรียกว่านับถือ แต่ว่าแสวงหาเรียกว่าสัจธรรมได้หรือไม่ ที่คุณสุคินกล่าวมา อาจจะพูดอย่างนี้ได้หรือไม่ จะตรงไหม
คุณสุคิน ครับผม พูดได้ว่าเกิดจากความสำคัญของการเข้าใจความจริง แล้วก่อนหน้านี้คุณอรรณพพูดถึงว่า ใช้คำว่านับถือเหมือนกัน และตอนนั้นผมก็รู้สึกว่า ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมนับถือ หรือว่าผมเป็นชาวพุทธ เพราะผมรู้ว่าสำคัญคือความเข้าใจ คือเข้าใจเมื่อไร ตอนนั้นคือเป็นพุทธ
อ.จักรกฤษณ์ ตรงนี้ก็มีประเด็นหนึ่งที่ว่า พอเข้าใจเมื่อไรก็ ของเราเป็นที่พึ่ง ตรงนี้จะใช้คำนี้ว่า เพราะเป็นที่พึ่ง เราไม่ได้นับถือ แต่เป็นถึงที่พึ่งเลย ใช่หรือไม่
คุณสุคิน ใช่ ที่มีศรัทธาต่อรัตนตรัย ตรงนั้นเวลาเริ่มฟัง ก็รู้ว่าเป็นอะไรที่ไกลมาก เพราะความเข้าใจเราแค่นี้เอง เราจะไปว่าเรามีศรัทธาได้อย่างไร เราก็มีแต่ต้องศึกษาต่อไป เข้าใจ คือธรรมต่างๆ ก็จะทำกิจของมัน คือศรัทธาก็จะเพิ่ม ปัญญาเพิ่ม ศรัทธาเพิ่ม ไม่จำเป็นต้องไปคิดว่า เราเป็นชาวพุทธ หรือเรานับถือพระพุทธองค์ คือเหมือนกับว่า ถ้าเราอยากจะคิดอย่างนั้น มันเหมือนเราลืมว่า จริงๆ แล้วเรายังไม่รู้ไรเลย และหน้าที่เราก็คือศึกษาต่อไป แต่ถ้าดูจากมุมว่า เราเลือกที่จะศึกษาศาสนาพุทธ และไม่สนใจศาสนาอื่น ตรงนั้นก็พูดได้ว่า ใช่ เราไม่สนใจคำสอนอื่นเลย ตั้งแต่เราเข้าใจ ไม่สนใจที่อื่น เรื่องอื่นเลย ถ้าดูจากนั้นก็เรียกว่าเราเลือกที่จะตามรอยคำสอนของพระพุทธองค์
อ.จักรกฤษณ์ นี้ก็ค่อนข้างชัด
ท่านอาจารย์ ไม่ทราบคุณจริยายังไม่เคยคุยกับคุณสุคินเลย ใช่หรือไม่
อ.จริยา สำหรับดิฉันคิดว่า ก็รู้สึกทึ่งว่า ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ ใครๆ ก็ศึกษาได้ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไรตามที่บอกในทะเบียน ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่กรอกในทะเบียนว่า คุณนับถือศาสนาโน้นศาสนานี้ แต่บ้านเราเดี๋ยวนี้เราไม่ต้องกรอกก็ได้ แต่ว่าบางประเทศก็อาจจะต้องให้กรอก ดิฉันคิดว่าเมื่อไรที่ เริ่มศึกษาพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เริ่มมีความเข้าใจ ค่อยๆ เข้าใจไป อย่างที่คุณสุคินท่านว่า เราไม่ต้องบอกว่า เรานับถือหรือไม่นับถือ เมื่อไรที่เราค่อยๆ เข้าใจ เราก็เริ่มรู้ถึงพระคุณ แล้วก็เริ่มรู้ว่า นี้คือสิ่งที่เราควรศึกษายิ่ง แต่เราศึกษาก็ยังน้อยนิดกับสิ่งที่มีอยู่
เพราะฉะนั้นเราก็ต้องค่อยๆ ศึกษา และค่อยๆ เข้าใจไป อย่างที่คุณสุคินว่า แล้วก็อยากจะกราบเรียนท่านอาจารย์ว่า อย่างที่ท่านอาจารย์เคยพูดเสมอ ไม่ใช่ว่า ใครจะต้องมาปิดกั้นว่า คนนับถือศาสนาโน้นศาสนานี้ แล้วฟังคำจริงไม่ได้ เพราะฉะนั้นคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครๆ ก็ฟังได้ และเมื่อฟังแล้วมีความเข้าใจ เริ่มเข้าใจ เริ่มศึกษา ก็จะรู้อยู่กับตัวเองว่า เราคือใคร แม้ว่าจะกรอกในทะเบียนว่าเป็นศาสนาโน้นศาสนานี้ แต่ความเข้าใจมีแล้วหรือยัง ถ้ามีความเข้าใจแล้ว นั่นคือเรียกว่าเป็นผู้ที่อาจจะยังไม่ใช้คำว่า ถึงพระรัตนตรัย แต่เริ่มที่จะเป็นผู้ที่เรียกตัวเองได้ว่า เป็นพุทธศาสนิกชน
ท่านอาจารย์ นี่ก็เป็นความต่างกัน ระหว่างสองคำ นับถือกับเข้าใจ เพราะฉะนั้นคนที่บอกว่า นับถือพระพุทธศาสนา แต่ไม่เข้าใจเลย ต่างกับคนที่เข้าใจอย่างยิ่ง แล้วก็ศึกษา แล้วก็มีความมั่นคงที่จะเห็นว่า ศาสนาหรือคำสอนอื่นในลัทธิต่างๆ ไม่เป็นที่สนใจ ที่จะให้เกิดความเข้าใจขึ้นได้เลย ด้วยเหตุนี้จะเรียกว่าชาวพุทธ ก็ต้องรู้ว่าหมายความว่าอะไร ไม่ใช่เพียงแต่เกิดมา แล้วก็ในทะเบียนว่าเป็นชาวพุทธ แต่ไม่รู้ ไม่เข้าใจธรรมเลย แล้วก็บอกว่านับถือพระพุทธศาสนา กับผู้ที่รู้ว่า คำว่านับถือ ต้องหมายความว่าต้องเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจจะนับถือได้อย่างไร เพราะเหตุว่าเมื่อเข้าใจแล้วก็รู้ว่า อะไรเป็นสิ่งที่ควรอย่างยิ่ง ที่จะมีความเข้าใจขึ้นๆ ก็แสดงว่ามีความเลื่อมใส มีความศรัทธาที่จะเข้าใจความจริง
เพราะฉะนั้นคำทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะทำให้รู้และเข้าใจได้ จนกว่าจะมีความเข้าใจจริงๆ ว่า แม้แต่คำว่านับถือ ถ้าไม่มีความเข้าใจ เราจะนับถือสิ่งที่เราไม่เข้าใจหรือ กับการที่เราได้เข้าใจ และเห็นประโยชน์ การเห็นประโยชน์นั่นแหละคือการนับถืออย่างแท้จริง ซึ่งจะนำไปสู่ความที่มั่นคง จนกระทั่งรู้แน่ว่าชีวิตทั้งชีวิตพึ่งอะไร ต้องพึ่งสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ที่เป็นที่นับถือที่สุด
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ นับถือกับเข้าใจ อย่างคนที่เรากล่าวว่าเป็นชาวพุทธ นับถือพระพุทธศาสนา แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจความเป็นพระพุทธศาสนาเลยว่า พุทธศาสนาสอนอะไร ในเมื่อไม่เข้าใจ ก็เหมือนนับถือสิ่งที่เขาไม่รู้จัก
ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะฉะนั้นมีความหมายหรือไม่ นับถือสิ่งที่ไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นต้องเป็นคนที่ตรงและก็มีเหตุผล ซึ่งจะได้จากการเข้าใจธรรม จะทำให้รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
อ.อรรณพ ถ้าจะพูดกันง่ายๆ ก็คือ ถ้ายังไม่ได้ศึกษาและไม่เข้าใจพุทธศาสนาจริงๆ เราก็เพียงแต่ใช้คำว่า นับถือสิ่งที่เราไม่รู้จักเลยตามๆ กันมา หรือตามความพอใจ ตามความคิดของเราไปเท่านั้นเอง
ท่านอาจารย์ เพราะว่าถ้ามีคนถาม ทำไมนับถือพุทธ จะตอบว่าอย่างไร ไม่รู้หรือว่าเพราะเหตุผลอย่างไร
อ.อรรณพ คงตอบได้หลายอย่างว่า นับถือตามๆ
ท่านอาจารย์ อย่างนี้ไม่ได้นับถือ ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่นับถือ เพราะฉะนั้นที่จะนับถือก็คือ ต้องเข้าใจสิ่งนั้น และเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด ที่ควรแก่การนับถือ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรแล้วนับถือ นั่นก็ไม่ตรง
อ.อรรณพ นับถือสิ่งที่ไม่รู้จักนี้เตือนมาก จนกว่าจะมีความเข้าใจ จึงจะเป็นการนับถือด้วยปัญญา ที่เข้าใจว่าพระพุทธศาสนาสอนอะไร แล้วมีประโยชน์อย่างไร
ท่านอาจารย์ คุณสุคินมีความเห็นอย่างไรเรื่องพระพุทธศาสนาในประเทศไทย เพราะว่าจริงๆ แล้วก็ทั่วโลก พระพุทธศาสนาก็ต่างๆ กันไป แต่ว่าสำหรับในประเทศไทยก่อน กับประเทศอื่นก็ได้
คุณสุคิน ความคิดที่เกิดตอนมาเจออาจารย์ใหม่ๆ ตอนนั้นก็คือว่า อาจารย์สอนอยู่สถานที่ ที่ไม่ไกลจากบ้านผมเลย เหมือนกับอยู่ใกล้ แต่ว่ากว่าจะมาได้ยินก็คือ ที่ได้ยินมา ได้ยินจากที่อื่นเพราะมีเยอะ ที่มามีความเข้าใจว่าอาจารย์สอน เพิ่งเริ่มเข้าใจหลังจากฟังอาจารย์ ก็แสดงว่าที่ฟังมาก่อนคือผิดหมด ตรงนั้นมีเยอะมาก ผมก็อายุเกือบ ๔๐ ถึงมาเจออาจารย์ เท่ากับว่าก่อนนั้น ๑๐ ปีที่ผมสนใจ ไม่ได้โอกาส ก็คือโอกาสที่จะไปผิดมีเยอะ ตรงนี้ที่กำลังบอกว่า ความคิดผมคือที่เราเรียกว่า คำสอนของพระพุทธองค์ที่ในประเทศไทย ถ้าไม่ใช่อาจารย์ก็คือไม่ใช่คำสอน และโอกาสใหม่ที่จะมาเจออาจารย์ ที่มาได้ยินอาจารย์น้อย เพราะมันมีคำสอนผิดๆ เยอะมาก โอกาสที่จะไปคล้อยตามเขาง่ายมาก นั่นคือประเทศไทย ประเทศอื่นไม่มี ก็เป็นแบบนี้ ที่ไหนที่เขาสอนก็ไม่มีใครสอนถูก ก็มีแต่ผิด ในประเทศไทย มันเหมือนเราติดไปทางผิดได้ง่ายมาก เพราะมีคำสอนที่ไม่ถูกเยอะมาก
อ.อรรณพ ถ้าเราจะสนทนากันให้ชัดว่า พระพุทธศาสนาในประเทศไทยเป็นอย่างไร ก็เป็นประเด็นย่อยๆ ไป เพราะว่าพระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาก็พูดกันติดปากก็คือสอนเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ถูกไหม เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาในประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ก็คือคนที่นับถือพุทธศาสนา เข้าใจศีล สมาธิ ปัญญาอย่างไร
