001 พระพุทธศาสนาในประเทศไทย


    สนทนาพิเศษ

    เรื่อง พระพุทธศาสนาในประเทศไทย

    ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร

    วันศุกร์ที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐

    ตอนที่ ๑


    อ.อรรณพ สวัสดีครับท่านผู้ชมรายการบ้านธัมมะทุกท่าน การจะนับถือศาสนาหนึ่งศาสนาใด ก็เป็นเสรีภาพของแต่ละบุคคล สำหรับประเทศไทยเราเอง ก็มีพระพุทธศาสนานี้เป็นศาสนาหลัก เพราะว่ามีผู้นับถืออยู่มาก แต่เราเข้าใจพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง มากน้อยแค่ไหน และสภาพการณ์ของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยขณะนี้เป็นอย่างไร

    ดังนั้นการสนทนาพิเศษในช่วงนี้ก็เป็นโอกาสอันดี ที่จะได้รับความรู้ความเข้าใจจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และท่านคณะวิทยากร ที่ท่านร่วมสนทนากับเราเป็นประจำ และวันนี้ก็ยังเป็นโอกาสพิเศษที่เรามีแขกรับเชิญที่น่าสนใจมาก ท่านไม่เคยนับถือพุทธศาสนามาก่อนเลย ก็คือคุณสุคิน เดอพาวซิง นารีรักษ์ ซึ่งท่านจะมาถ่ายทอดประสบการณ์ แลกเปลี่ยนแง่คิดต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ ที่จะทำให้พวกเรามีความรู้ความเข้าใจพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะในประเทศไทยเราได้กว้างขวางขึ้น

    ขอกราบเรียนเชิญอาจารย์ ท่านวิทยากรทุกท่านนะครับ เราเริ่มการสนทนากันในคำแรกก่อน ก็คือคำว่า ศาสนา เพราะเรากำลังจะสนทนาพระพุทธศาสนาในประเทศไทยนะครับ แต่คำว่า ศาสนาคืออย่างไรครับอาจารย์คำปั่น คำแปลความหมายของศาสนา

    อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์นะครับ ความหมายของคำว่า ศาสนาหรือในภาษาบาลีก็คือ ศาสนะ หมายถึงคำสอน คือคำนี้ความหมายจะไม่เปลี่ยนเลย ศาสนาหรือว่าศาสนะ หมายถึงคำสอน เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวถึงคำว่า พระพุทธศาสนา ก็ต้องกล่าวถึงว่าเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริง แล้วก็ทรงแสดงความจริงให้กับสัตว์โลกได้ฟัง ได้ศึกษา แล้วก็มีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง

    เพราะว่าผู้ที่ทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็จะมีคำจริงที่จะอนุเคราะห์เกื้อกูลผู้อื่น ให้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง เพราะว่าคุณความดีทั้งหมดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงสะสมอบรมมา ก็เพื่อที่จะได้ทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง แล้วทรงแสดงความจริงนี้อนุเคราะห์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก ให้ได้เข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความจริง ตามที่พระองค์ได้ทรงแสดง

    อ.อรรณพ คำว่า ศาสนา คำเดียวก็คือคำสอน จะเป็นคำสอนของใครก็ได้ที่ สอนกัน แล้วก็มีความเชื่อ ความเห็นเดียวกันก็เป็นศาสนาต่างๆ

    อ.คำปั่น ใช่ครับ

    อ.อรรณพ อาจารย์จริยาครับ ศาสนานี้ทางกฎหมายก็ไม่ได้บังคับไว้ ใช่ไหม ที่ว่าการนับถือศาสนาเป็นเสรีภาพ อยากให้อาจารย์ได้ให้ความรู้กับท่านผู้ชมในเรื่องว่า เสรีภาพในการนับถือศาสนาในทางกฎหมาย

    อ.จริยา กราบท่านอาจารย์ค่ะ กฏหมายไม่ได้เขียนบังคับใครแล้ว ในรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้บังคับ เพราะทุกคนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายและก็จะเขียนเรื่องสิทธิและเสรีภาพไว้ สิทธิต่างๆ เช่นคนทุกคน คนไทยก็มีสิทธิ์ที่จะมีสัญชาติไทยโดยการเกิด ฉะนั้นคำว่าเสรีภาพก็เป็นสิ่งที่เมื่อไรที่รัฐธรรมนูญส่วนมาก รัฐธรรมนูญทุกฉบับก็จะเขียนไว้ว่า ประชาชนทุกคน หรือว่าคนที่อยู่ในเมืองไทยก็มีเสรีภาพในการที่จะเลือกนับถือศาสนา แล้วก็อย่างที่เราทราบกันว่า ก็มีรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่มาเขียนชัดนิดหนึ่ง เรื่องพุทธศาสนาเถรวาทว่า รัฐพึงอุปถัมภ์ ดูแลพุทธศาสนาให้เป็นไปตามแบบพุทธศาสนาเถรวาท แล้วก็ให้โอกาสประชาชนทุกคน ไม่ว่าใครที่จะต้องศึกษาพระพุทธศาสนาเถรวาท แล้วรวมทั้งให้ภาครัฐ และภาคเอกชนช่วยกันดูแลให้พุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นไปตามแบบพุทธศาสนาเถรวาท

    อ.อรรณพ อาจารย์จักรกฤษณ์ครับ เรื่องการนับถือศาสนาจำเป็นหรือไม่ว่าต้องนับถือ หรือไม่นับถือก็ได้ หรือนับถือศาสนาอะไรตามแต่ แต่ละคนจะชอบอย่างนั้นหรือเปล่า

    อ.จักรกฤษณ์ จากตรงนี้อาจจะอธิบายในภาพรวมละเอียดสักนิดหนึ่ง ก็จะกล่าวต่อจากที่ท่านอาจารย์จริยาได้กล่าวไว้ว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญของเรา ฉบับปีพุทธศักราช ๒๕๖๐ ได้บัญญัติเรื่องเสรีภาพในการนับถือศาสนาไว้ชัดเจน อย่างที่อาจารย์จริยาได้กล่าวไว้ ก็ขออนุญาตอ่านกฎหมายตรงนี้นิดหนึ่งให้ชัดเจน

    ในมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติไว้ว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ ในการถือศาสนา และย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน กฎหมายให้เสรีภาพทุกประการ ดังนั้นจะไม่มีการบังคับว่า คนนั้นคนนี้จะต้องนับถือศาสนานั้นศาสนานี้ เป็นเสรีภาพของเขาเองที่จะเป็นคนเลือก แล้วปฏิบัติตามหลักศาสนานั้นๆ แต่ว่าในรัฐธรรมนูญก็ระบุไว้ข้างท้ายว่า การปฏิบัติพิธีกรรมหรือว่าประกอบกิจการอย่างใด ต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทย นี้เรื่องที่หนึ่ง ไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ เรื่องที่สอง และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตรงนี้ก็มีการจำกัดกรอบเสรีภาพไว้ชัดเจนว่า จะนับถือศาสนาใด นับถือลัทธิใดก็ทำได้ แต่จะต้องอยู่ในกรอบของ สิ่งที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่า จะต้องไม่เป็นอันตรายต่อรัฐ ที่สำคัญไม่ขัดต่อ ความสงบเรียบร้อยของศีลธรรม เป็นต้น จำกัดกรอบไว้

    ดังนั้นตรงนี้ก็ชัดเจนว่า เป็นเสรีภาพโดยประการทั้งปวง แต่มีกรอบที่จำกัดไว้ชัดเจน ตรงนี้จะต้องไปด้วยกัน คือไม่ใช่ว่าเสรีภาพนับถือศาสนานี้ แล้วจะทำอะไรตามแต่ใจตัวเอง หรือคิดว่าอยากจะทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้ ตรงนี้ก็จะต้องคำนึงถึงด้วย

    อ.จริยา ขออนุญาตให้อาจารย์จักรกฤษณ์ขยายตรงคำว่า ไม่ขัดกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน กว้างขวางแค่ไหน

    อ.จักรกฤษณ์ ไม่ขัดต่อความสงบ ก็ไม่ไปก่อให้เกิดความเดือดร้อนให้กับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และที่สำคัญคือไม่ไปทำลายศาสนาที่ประชาชนนับถืออยู่ ที่ดีอยู่แล้ว ไม่ไปบิดเบือน บั่นทอน ทำลาย ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งตรงนี้ก็เป็นประเด็นสำคัญทีเดียวว่า เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของประชาชน ก็ครอบคลุมถึงตรงนี้เลย ที่อาจารย์จริยากล่าวถึง

    อ.อรรณพ ก็สืบเนื่องจากที่เราสนทนากันคราวที่แล้วเรื่องพระพุทธศาสนาเถรวาทด้วย สรุปว่าศาสนาก็เป็นคำสอนที่ท่านอาจารย์คำปั่นได้อธิบาย แล้วก็ในความเป็นเสรีภาพก็มีเสรีภาพ ใครจะนับถือศาสนาอะไรก็ได้ แต่จะต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายกับสังคมบ้านเมือง หรืออย่างอื่น ถ้าเราพูดถึงพระพุทธศาสนาเถรวาท ก็เป็นสิ่งที่ดีมาก ที่กฎหมายในปัจจุบันอย่างที่อาจารย์จริยากล่าว ก็ได้มีการกล่าวถึงว่า ต้องมีการสนับสนุน มีการที่จะรักษาธำรงพุทธศาสนาเถรวาทไว้

    ถ้าเรากล่าวถึงการนับถือศาสนา ความแท้จริงของธรรมจริงๆ ถ้ากล่าวถึงการนับถือศาสนาทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดทั้งสิ้น ท่านอาจารย์มีความเห็นว่าการนับถือศาสนาคืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็คงไม่ลืมความจริง ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามปัจจัย เพราะฉะนั้นเมื่อบังคับบัญชาไม่ได้ ที่จะให้คนนั้นคนนี้นับถือศาสนานั้นศาสนานี้ ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็สะสมมา ที่จะมีความเห็นที่หลากหลาย จึงเป็นเหตุให้มีศาสนาต่างๆ ซึ่งผู้ที่สะสมมา ก็คล้อยตาม แล้วแต่ว่าจะสะสมความเห็นถูกต้อง หรือว่าสะสมความพอใจยินดีในความเชื่อต่างๆ ก็แล้วแต่

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า แม้ศาสนาทุกศาสนา ควรที่จะนำความสุขสงบและความดี ก็แล้วแต่ว่าบุคคล ที่กล่าวว่านับถือพระพุทธศาสนา ได้มีความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน หรือว่าคนที่นับถือศาสนาใดๆ ก็ตามแต่ ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ผู้นั้นก็จะไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนเป็นทุกข์ ถ้ามีความเข้าใจว่าอะไรดีอะไรชั่ว

    เพราะฉะนั้นสำหรับพุทธศาสนา ถ้าทุกคนมีความเข้าใจถูกต้อง ประเทศชาติก็สงบ ไม่มีเรื่องที่จะต้องเดือดร้อนเลย แต่เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาสภาพจิตของแต่ละคนที่สะสมมาหลากหลาย จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายสำหรับทุกศาสนา ที่จะต้องให้ทุกคนในประเทศได้มีความสงบร่มเย็น โดยการที่ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดๆ ก็ตาม ต้องไม่ทำให้เกิดความเดือดร้อน

    เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้ว ศาสนาคือคำสอนในเรื่องของสภาพจิต ซึ่งทำให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจถูกต้อง ว่าสิ่งที่ไม่ดีก็คือไม่ทำ และสิ่งที่ดีก็ควรทำ เกือบจะไม่จำเป็นที่จะต้องมีกฎหมาย แต่มีกฎหมายเพราะว่าสภาพธรรมทั้งหลาย ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ ที่ใช้คำว่า อนัตตา แต่ไม่อิสระ ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยที่แต่ละคนสะสมมา และคนในประเทศก็มีการเชื่อในลัทธิศาสนาต่างๆ กัน แต่ทั้งหมดก็ต้องอยู่ร่วมกัน

    อ.อรรณพ เป็นอะไรที่ดีมาก อย่างประเทศไทยเราก็อยู่ร่วมกัน ของประชาชนที่นับถือศาสนาต่างๆ กันตามอัธยาศัย ซึ่งเราก็อยู่ร่วมกันได้ ภายใต้กฎหมายอย่างหนึ่ง แล้วก็ที่สำคัญก็คือ ด้วยความเอื้อเฟื้อกัน และก็มีความเข้าใจกันว่า แต่ละคนก็มีความเห็นอะไรที่แตกต่างกันไปตามความคิดความเชื่อ แต่ถ้าเป็นผู้ที่เป็นชาวพุทธ ก็ต้องมีความเข้าใจความจริง ความเข้าใจคำสอนที่เป็นพุทธศาสนาจริงๆ

    เพราะฉะนั้นคำว่าเสรีภาพ ในทางกฎหมายก็เข้าใจได้ว่า แต่ละคนก็บังคับไม่ได้ แล้วก็เป็นเสรี สิทธิเสรีภาพในการที่จะทำอะไร กฎหมายก็เป็นอย่างหนึ่ง อาจารย์จักรกฤษณ์ครับ บางคนไม่นับถือศาสนาอะไรเลย แล้วขีดช่องศาสนาว่าไม่มี สำหรับเมืองไทยเราทำได้หรือไม่

    อ.จักรกฤษณ์ ทำได้ครับ ก็ตามกฎหมาย เพราะว่าเป็นเสรีภาพโดยบริบูรณ์ในการถือ

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นคำว่า เสรีภาพ คือว่าจะนับถือก็ได้ ไม่นับถือก็ได้ แล้วจะนับถือศาสนาอะไรก็ได้

    อ.จักรกฤษณ์ จะนับถือหลายๆ ศาสนาก็ได้

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ ก็เป็นความเป็นไปของธรรมที่ว่า เป็นอย่างนั้น จะเชื่อ หนึ่ง สอง สาม สี่ ศาสนาก็ได้ หรือไม่สนใจเลย ก็ไปบังคับบัญชาอะไรไม่ได้ ตามสภาพอจิต ใช่หรือไม่ครับ

    ท่านอาจารย์ ต้องมั่นคง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นทุกอย่างไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้เลย แม้แต่กฎหมายก็มีผู้ที่เขียนหรือออกกฎหมายตามความคิดความเข้าใจ แล้วแต่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปตามความคิดเห็นอย่างไร ก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แต่ที่ถูกต้องที่สุดก็คือ คำสอนที่จริง จากการที่ได้รู้ความจริงจนถึงที่สุด ซึ่งสามารถที่จะฟังแล้วพิจารณาได้ว่า จริงทุกขณะ เพราะว่าเป็นคำสอนของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าไม่ศึกษา ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้เลย

    เพราะเหตุว่าแม้เดี๋ยวนี้ ก็เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้วทุกอย่าง แต่ว่าคนก็ไม่เข้าใจ ต้องอาศัยความที่มั่นคงจริงๆ ว่า สิ่งที่มีจริงสามารถรู้ได้ แต่ไม่ใช่ด้วยความคิดของตัวเอง เพราะคิดเท่าไร อย่างไรก็ไม่ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งกำลังเป็นจริงทุกขณะ

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวถึง เรื่องของการนับถือศาสนา คุณสุคินก็คงจะมีประสบการณ์แลกเปลี่ยน ได้กว้างขวางมาก เพราะว่าคุณสุคินเดิมทีก็ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนามาก่อน ใช่ไหมครับ แล้วจะเรียนถามความเห็นคุณสุคินว่า ก่อนที่จะได้มาศึกษา ทราบว่าคุณสุคินเป็นผู้ที่มีความสนใจในการศึกษาปรัชญาและศาสนาต่างๆ มามากเลย แล้วสุดท้ายคุณสุคิน ก็ตัดสินใจนับถือพระพุทธศาสนา เรียกว่าอย่างจริงจังเลย แล้วคุณสุคินก็ได้ศึกษาพระธรรมวินัยมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง จนมีความเข้าใจในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี

    แต่ถ้าย้อนไปตอนแรกเลย ที่ยังไม่ได้นับถือพุทธศาสนา มองพระพุทธศาสนาว่าอย่างไร แล้วก็มองศาสนาต่างๆ ปรัชญา ลัทธิอะไรต่างๆ อย่างไร แล้วก็มีการศึกษามาอย่างไร

    คุณสุคิน ก่อนที่ได้เข้าใจธรรม ก็เห็นพระพุทธศาสนาก็เป็นศาสนาหนึ่งเหมือนในศาสนาอื่น สอนให้เป็นคนดี แล้วก็เวลาอ่านธรรมที่พระองค์สอน ได้อ่านปรัชญาอื่น ความเชื่ออื่นๆ ก็ไม่ได้เห็นความแตกต่างอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ได้สนใจว่า มีศาสนาหนึ่งถูก หรืออีกศาสนาหนึ่งผิด คิดว่าทุกอย่างก็มีข้อดี ทุกอย่างสุดท้ายก็ทำให้เจริญกุศล

    อ.อรรณพ ก็มองว่าศาสนาเป็นสิ่งที่ดี พุทธศาสนา และทุกศาสนาก็นำไปสู่ความดี

    คุณสุคิน ใช่

    อ.อรรณพ คุณสุคินเริ่มสนใจเรื่องปรัชญา เรื่องศาสนาอะไรอย่างนี้ แล้วก็ ศึกษาพวกนี้มาอย่างไร เล่าประสบการณ์ให้พวกเราได้ฟังบ้าง เพราะว่ามีประสบการณ์เยอะ

    คุณสุคิน ก็เริ่มจากที่ว่า มีคำถามเกี่ยวกับชีวิต อยากจะรู้คำตอบ แล้วก็ได้อ่านหนังสือ เพราะไม่ได้พอใจที่จะมีชีวิตอยู่ไปเรื่อยๆ

    อ.อรรณพ อยากจะหาความจริงของชีวิต

    คุณสุคิน อยากจะหาความจริง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร ก็กำลังค้นหา ก็เหมือนค้นหาโดยไม่รู้ ด้วยความไม่รู้ ก็ไปสนใจปรัชญานี้ คำสอนที่คำสอนโน้น ก็คล้อยตามไปเรื่อยๆ คนนี้พูด ฟังแล้วก็มีเหตุผล มันก็ดีไปหมดเลย แล้วก็ในมิกซ์นั้นก็คือศาสนาพุทธด้วย ตามที่สอนกันทั่วไป สุดท้ายค่อยๆ ลดความสนใจในศาสนาอื่น แล้วมาเน้นตรงศาสนาพุทธ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ฟังอาจารย์ จะมีช่วงหนึ่งที่สนใจมหายานด้วย และสนใจที่สอนให้นั่ง ก็เคยไปนั่งสมาธิ

    อ.อรรณพ ทำสมาธิ

    คุณสุคิน ที่เขามีกันไปนั่งสิบวัน เคยไปสองครั้ง ที่เมืองไทยครั้งหนึ่ง ที่อินเดียครั้งหนึ่ง ทั้งหมดนี้ก่อนที่จะมาเจออาจารย์ แต่หลังจากมาเจออาจารย์ มาฟังอาจารย์แล้ว ครั้งแรกฟังก็ไม่ได้เข้าใจ แต่ประทับใจในตัวอาจารย์ว่า อาจารย์เป็นคนที่มีเมตตามากๆ ไม่เคยรู้สึกสบาย ที่อยู่ใกล้ๆ ใคร เท่ากับอยู่ใกล้อาจารย์ ได้ฟังต่อไปๆ มาเริ่มเข้าใจว่าพระองค์สอนอะไร และที่เราทำอยู่ ที่เราคิดว่าพระพุทธองค์สอนมันคืออะไร จากที่ว่าสนใจการนั่ง แล้วเคยคิดอยากจะสอนให้ลูกนั่งสมาธิเหมือนกัน มีอยู่วันหนึ่งเห็นว่า ทำเพื่ออะไร ก็ทำเพื่อตัวเอง

    อ.อรรณพ นั่นคือในระหว่างฟังท่านอาจารย์

    คุณสุคิน ระหว่างเพิ่งเริ่มฟังไม่นาน ก็เลิกเลย แล้วฟังต่อไป ก็ค่อยๆ รู้ว่าที่เราเข้าใจมาก่อน กับที่เข้าใจตอนนี้ไม่เหมือนกัน แล้วมาสรุปว่า ตอนนี้จึงมาเริ่มเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพิ่งเริ่ม ก่อนหน้านี้ไม่เข้าใจเลย

    อ.อรรณพ เริ่มหลังจากที่คิดว่าจะให้ลูกนั่งสมาธิ แล้วก็คิดไปว่า ทำไปแล้วจะได้อะไร เพื่อตัวเองทั้งนั้น

    คุณสุคิน ตอนนั้นไม่ได้คิดถึงลูก ตอนนั้นตัวเองกำลังจะนั่ง แล้วก็มาคิดได้ ว่าทำอะไรอยู่

    อ.อรรณพ ก่อนหน้านี้คุณสุคินก็ทำสมาธิมา

    คุณสุคิน ไม่นาน แต่ว่าก็ไม่เป็นระบบระเบียบ คืออ่านนี่ ทำนี่ ทำสไตล์นี่หลายๆ แบบ

    อ.อรรณพ หลายๆ แบบ

    คุณสุคิน ก่อนมาเจออาจารย์ประมาณสัก ๗-๘ เดือน ตัดสินว่าจะทำตามครูชาวพม่าคนหนึ่ง ก็เลยไปทางโน้น แล้วตอนโน้นก็รู้สึกดีใจที่ว่าไปเจออะไรที่คิดว่ามีค่าและเป็นประโยชน์ ก็ตอนนั้นคิดว่าเจอใครก็อยากจะแนะนำเขา ให้ทำอย่างเดียวกัน ถึงขนาดตอนที่ไปนั่งครั้งหนึ่ง พาคนทำงานไปด้วย ก็คือให้เงินเดือนด้วย ทำด้วย

    อ.อรรณพ สนับสนุนเต็มที่

    คุณสุคิน สนับสนุนด้วย คิดว่าลูกเราเล็กๆ จะสนับสนุนตั้งแต่ตอนเล็กเลยให้ทำ แต่มาฟังอาจารย์เสร็จแล้ว โล่งอกที่ว่าไม่ได้ทำ

    อ.อรรณพ ไม่ได้ทำอย่างนั้น เพราะว่าอะไรจึงสะกิดใจ ที่ท่านอาจารย์แสดงตามธรรมวินัย อย่างไรที่ทำให้คุณสุคินเริ่มที่จะรู้ว่า การไปทำสมาธินั้นไม่ใช่หนทาง แล้วเป็นไปเพื่อตัวเรา แล้วก็ไม่รู้อะไร จากคำสอนตรงไหน

    คุณสุคิน ก็เห็นว่าที่ทำ ไม่ได้เพื่อความเข้าใจเลย ทำเพื่อผลสำหรับตัวเอง แล้วไม่ได้เข้าใจอะไรเลย ที่อาจารย์สอน ไม่เคยคิดว่าจะมาเข้าใจนี้เลย เหมือนกับว่าเป็นอะไรที่รู้สึกดี ที่คิดว่าทำให้ชีวิตดีขึ้น จริงๆ แล้วมันเหมือนหาเรื่องใหม่ที่ไปยึด

    อ.อรรณพ คิดว่าเป็นอะไรที่ทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่จริงๆ แล้ว เมื่อเข้าใจถูกก็คือ เหมือนกับไปหาสิ่งยึดถือ ซึ่งแปลกออกไปกว่าในชีวิตประจำวันรอบตัว

    คุณสุคิน มีที่หนีปัญหา มีสิ่งที่เราสามารถจะไป ที่ไม่เป็นเหมือนปัญหาเดิม ไม่ได้เป็นปัญหาที่เรามีอยู่ในชีวิตประจำวัน ตอนนี้เหมือนแก้ปัญหาได้ แต่ไม่เคยคิดเรื่องว่า แล้วเข้าใจอะไร ไม่เคยคิด ไม่เคยคิดเลย มีแต่มาฟังอาจารย์ เวลาอาจารย์พูดถึงเข้าใจ เข้าใจปัจจุบันธรรม เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ ถึงรู้ว่า นั่นน่ะสิ พระพุทธองค์สอนทำไม ก็สอนให้เข้าใจ ไม่อย่างนั้นก็อยู่ไปโดยไม่เข้าใจ ความหมายของ พุทธะคืออะไร ผู้รู้ ผู้ตื่น ก็รู้อะไร ก็รู้ธรรม ไม่ใช่ไม่รู้ ไม่ใช่ทำก็ไม่รู้อะไรเลย พระพุทธองค์ไม่สอนแบบนี้ สอนให้เรารู้ ที่ละก็ละเพราะรู้ ก็เริ่มฟังและรู้ว่า ความเข้าใจแทบจะไม่มี ความไม่เข้าใจสะสมไว้เยอะมาก เพราะฉะนั้นความสำคัญของการที่ต้องฟัง และฟังต่อนั้นมหาศาล

    อ.อรรณพ แล้วที่คุณสุคินบอกว่า การศึกษาธรรมเป็นไปเพื่อรู้ รู้อะไร ธรรมที่ว่าที่จะรู้คืออะไร

    คุณสุคิน รู้ชีวิต นี่แหละชีวิตก็คือนี่ เราพูดถึงอะไร ชีวิตไม่ใช่อะไรนอกจากนี้ที่ปรากฏตอนนี้ ที่เห็น ที่ได้ยิน ที่คิด ความรู้สึก ทุกอย่างในชีวิตประจำวันความโกรธ ความรัก ความเข้าใจ ทุกอย่างก็คือสิ่งที่เราเรียกว่าชีวิต ที่เราเรียกว่าชีวิต ยากจะเข้าใจชีวิต ก็คือมันไม่พ้นจากนี้ ก็มีอยู่แค่นี้


    หมายเลข 10993
    10 เม.ย. 2568