จะรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้อย่างไร *
อ.วิชัย ในฐานะของพุทธบริษัท จะมีการช่วยดำรงรักษาพระสัทธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานไว้อย่างไรครับ
ท่านอาจารย์ ด้วยการศึกษาธรรมให้เข้าใจนะคะ ถ้าไม่มีการศึกษาธรรม ไม่มีใครเข้าใจพระธรรม พระธรรมก็เลือนหาย พระธรรมเป็นสิ่งซึ่งยากแสนยาก กว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงอุบัติ แล้วก็ทรงเผยแพร่ศาสนา ทรงแสดงธรรมให้คนได้เข้าใจ ก็เป็นเวลาซึ่งต้องอาศัยมีผู้ที่มีศรัทธา แล้วก็ศึกษา เพราะว่าถ้าไม่มีผู้ฟัง ไม่มีผู้สนใจ ไม่มีผู้ศึกษา ยุคนั้นสมัยนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงอุบัติ ต้องเป็นกาละที่สมควร ที่พระธรรมจะได้อนุเคราะห์คนอื่น ที่จะทำให้สามารถเข้าใจได้
ด้วยเหตุนี้ ต้องเป็นผู้ที่เห็นค่าของพระรัตนตรัยยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด ทุกคนเกิดแล้วก็ตายไป ก็ยังคงไม่รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แล้วก็ต้องเป็นอย่างนี้ไม่สิ้นสุด ไม่มีทางที่จะออกไปจากการเกิดตายๆ อย่างนี้เลย ด้วยเหตุนี้เมื่อมีผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรม และทรงแสดงพระธรรม ก็เป็นกาละของผู้ที่มีบุญ ที่ได้ทำไว้แต่ปางก่อน ที่จะได้รับประโยชน์จากพระธรรม เพราะเห็นคุณค่าว่า พระธรรมแต่ละคำเป็นสิ่งซึ่งยากแสนยาก ที่จะสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ จะได้ตรัสรู้และได้ทรงแสดง และแต่ละคำมีค่ามาก เพราะเหตุว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เพราะฉะนั้นสมบัติที่ประเสริฐสุดของชีวิตในสังสารวัฏฏ์ ก็คือขณะที่ได้เข้าใจพระธรรม เรียกใครๆ ว่าอุบาสก อุบาสิกาได้หรือไม่
อ.วิชัย ไม่ได้
ท่านอาจารย์ แล้วคนที่ถูกเรียกจะเป็นอุบาสก อุบาสิกาหรือเปล่า ตัวเองรู้หรือเปล่าว่า อุบาสกหรืออุบาสิกาหมายความว่าอย่างไร เกิดมาในโลกมีชีวิตไปวันๆ หนึ่ง ไม่ได้ฟังพระธรรมเลย ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่มีค่า ที่ควรที่จะเข้าใกล้ ก็คือการได้ยินได้ฟังคำ ซึ่งเป็นคำจริง บ่อยๆ เนืองๆ เหมือนทรัพย์สมบัติ ซึ่งทางโลกทุกคนอยากได้ เท่าไรก็ไม่พอ
เพราะฉะนั้นทางธรรมมีโอกาสที่จะได้ทรัพย์ คือความเข้าใจถูก ความเห็นถูกในสิ่งที่มี ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะให้ใครได้เลย นอกจากคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว เพราะฉะนั้นอุบาสก อุบาสิกาผู้นั้นรู้เอง เป็นหรือเปล่า ฟังหนเดียว แล้วก็ผ่านไป แล้วก็ไม่สนใจเลย อย่างนั้นจะเป็นอุบาสก อุบาสิกาหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นผู้ที่เห็นคุณอย่างยิ่งของพระธรรม เข้าใกล้ไม่ห่างเหิน เท่าที่จะเป็นไปได้ ยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระธรรม ที่ทำให้คนนั้นได้เห็นแสงสว่าง หรือว่ามีสิ่งที่ทำให้เข้าใจได้ จากสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจเลย เช่นเดี๋ยวนี้มีทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งยังไม่ได้เข้าใจ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม แต่เมื่อได้ฟังแล้ว ก็รู้ว่าต้องฟังอีกต่อไป เพราะเหตุว่ายังไม่ถึงกาลที่จะได้ประจักษ์แจ้งความจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง เช่นขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏทีละหนึ่ง ถูกต้องหรือไม่ ถ้าเป็นความจริง เพราะจิตเกิดขึ้นทีละหนึ่ง จะรู้หลายๆ อย่างพร้อมกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นขณะนี้เหมือนมีหลายอย่างพร้อมกันหมดเลย แล้วจิตเกิดดับเท่าไร นับไม่ถ้วน แต่ก็ต้องทีละหนึ่ง และจะรู้อย่างนี้ไหม ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย
เพราะฉะนั้นอุบาสก อุบาสิกา ก็เข้าใกล้แต่ละคำ เพื่อที่จะได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ จนสามารถจะรู้ด้วยตัวเอง ทุกคำที่ได้ฟังเป็นความจริงแน่นอน เพราะได้ประจักษ์ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งขณะนี้ทุกคนก็เป็นอุบาสก อุบาสิกา ซึ่งรู้ตัวเองตามความเป็นจริงว่า มีความเข้าใจแค่ไหน
พระธรรมวินัยเป็นที่เคารพสูงสุดสำหรับชาวพุทธ ต้องเข้าใจถูก และดำรงรักษาพระศาสนา ด้วยการประพฤติปฏิบัติตาม ภิกษุในพระธรรมวินัย ไม่รับ และไม่ยินดีในเงินและทอง นั่นจึงจะเป็นภิกษุ แต่ถ้าภิกษุใด ไม่กระทำตามพระวินัย ผู้นั้นไม่ใช่ภิกษุ
เพราะฉะนั้นกรณีใดๆ ก็ตามทั้งหมด ต้องเป็นการละเอียดที่จะพิจารณา ภิกษุไม่ว่าเป็นภิกษุใดทั้งสิ้น ไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นใคร อยู่ที่ไหน ภิกษุในพระธรรมวินัยไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง เพราะเหตุว่าอันตรายมาก เป็นจุดเริ่มแรกที่จะนำมาสู่ความไม่เป็นภิกษุ เพราะเหตุว่าคฤหัสถ์กับบรรพชิตต่างกัน ที่คฤหัสถ์ทำธุรกิจ แล้วก็มีเงินมีทองใช้จ่ายตามอัธยาศัยของผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ แต่ถ้าผู้ใดมีศรัทธาที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย โดยการเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้อง ไม่ใช่เพียงอยากบวชก็บวช อยากบวชก็บวช ใครจะบวชก็ได้ บวชกันเยอะๆ ชวนกันไปบวช แล้วเข้าใจอะไร
เพราะฉะนั้นถ้าเป็นการกระทำอย่างนั้น เคารพในพระศาสดาหรือเปล่า เพราะว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่จะศึกษาเข้าใจ เป็นผู้ที่รับฟังคำสอน มีทั้งที่เป็นบรรพชิต และคฤหัสถ์ตามอัธยาศัย เป็นผู้ที่ตรง ไม่หลอกลวง เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์ก็มีชีวิตอย่างคฤหัสถ์ ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา รู้แจ้งอริยสัจธรรมในเพศของคฤหัสถ์ เป็นเอตทัคคะคือผู้เลิศในทางต่างๆ ได้ ในฐานะของคฤหัสถ์ สำหรับบรรพชิตที่จะได้สาระจากพระธรรม ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อพระธรรมวินัย
เพราะฉะนั้นเมื่อพระผู้มีพระภาค ทรงบัญญัติสิกขาบท คือบทที่จะต้องศึกษา ศึกษาที่นี่หมายความว่าประพฤติปฏิบัติตามด้วยความเคารพ ละเมิดไม่ได้เลย เพราะผู้ที่บัญญัติ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อความผาสุกของสงฆ์ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติตาม ไม่มีความผาสุกในสงฆ์ มีความเดือดร้อน เพราะว่าภิกษุบางรูปก็ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย และบางรูปไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย จะอยู่กันได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ด้วยความเห็นชอบ เมื่อได้ทรงประชุมสงฆ์ และให้สงฆ์มีความเห็นอย่างไรกับการที่จะทรงบัญญัติสิกขาบทข้อนั้นๆ ซึ่งภิกษุทั้งหลายที่ประชุมรวมกัน พระสงฆ์ก็ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่เหมาะที่ควร เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติเพื่อความผาสุกของภิกษุ เพราะฉะนั้นไม่ว่าภิกษุใดทั้งสิ้น ไม่ยกเว้น เมื่อมีความเคารพ ในพระบรมศาสดา ต้องประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย และต้องศึกษาพระธรรม เพราะถ้าไม่ศึกษาพระธรรม ไม่มีการที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยได้ถูกต้อง เพราะไม่เข้าใจธรรม
เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าชวนกันบวช ไม่แสดงความเคารพในพระบรมศาสดาเพราะว่าบวชทำอะไร บวชเพื่ออะไร แล้วทำไมต้องบวช เป็นคฤหัสถ์ก็ชวนกันฟังธรรมได้ ใช่หรือไม หรือเราจะชวนกันไปบวช ไม่แน่นอน ไม่ใช่อัธยาศัย แต่ชวนกันทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะในเพศของคฤหัสถ์ก็ฟังธรรม ศึกษาธรรม สนทนาธรรมได้ อบรมเจริญปัญญาในเพศของคฤหัสถ์ได้
