อยากนิพพานแต่ไม่รู้จักกิเลส


        นิพพานเป็นสภาพที่ดับกิเลสได้โดยปัญญาที่สามารถประจักษ์แจ้งในนิพพาน แต่เพราะไม่รู้จักไม่เข้าใจนิพพาน จึงอยากถึงนิพพาน แต่แม้กิเลส และสภาพ ธรรมที่เกิดดับในชีวิตประจำวันก็ยังไม่รู้ แล้วจะถึงนิพพานได้อย่างไร


        มีใครบ้างคะที่เคยได้ยินคำว่านิพพาน กรุณายกมือด้วย ได้ยินกันทั้งนั้นเลย แล้วนิพพานคืออะไร แค่ได้ยินจะมีประโยชน์ไหม แต่ถ้าพูดถึงธรรมะที่ดับกิเลส สิ่งที่ปรากฏทางตาเห็นแล้วไม่ได้ดับกิเลส สิ่งที่ปรากฏทางตาดับกิเลสไม่ได้ เพราะว่ามีความติดข้องอยู่ที่ใจไม่ใช่อยู่ที่รูป ความติดข้องภาษาบาลีใช้คำว่าโลภะ คนไทยได้ยินบ่อยๆ แต่พอพูดว่าโลภะ ก็คิดว่าคนๆ นั้นโลภมาก หมายความว่าผิดปกติเกินคนธรรมดา แต่หารู้ไม่ว่าสภาพธรรมจะมากหรือจะน้อยปานใด ก็ต้องเป็นสภาพธรรมนั้น เปลี่ยนไม่ได้ ไฟไหม้ ไฟไหม้ตึก ไฟไหม้บ้าน ไฟนิดเดียว ร้อนเหมือนกันใช่ไหม ชื่อว่าไฟก็ต้องร้อน

        เพราะฉะนั้นสภาพธรรมะแต่ละหนึ่งแม้น้อยเพียงใดก็เปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ความติดข้องแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังคงเป็นความติดข้อง เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่สามารถที่จะดับอกุศลทั้งหมดได้ ดับความติดข้องได้ ดับโทสะได้ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเกิดแล้วก็เห็น เห็นแล้วก็ชอบ เห็นแล้วก็ไม่ชอบ เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แล้วอะไรจะดับกิเลสได้

        ด้วยเหตุนี้การฟังธรรมะต้องรู้ว่า ถ้าพูดถึงนิพพาน มีหลายคนที่อยากถึงนิพพาน ขอถามอีกครั้งหนึ่ง ได้ยินคำว่านิพพาน อยากถึงนิพพานหรือไม่ ใครอยากช่วยยกมือด้วย ต้องเป็นผู้ตรง อยากสิคะ ไม่รู้นิพพานจึงอยาก ถ้ารู้แล้วจะอยากไหม

        เพราะฉะนั้น เปลี่ยนถามคำถามว่า มีใครอยากหมดกิเลสบ้าง รู้จักกิเลสดีหรือยัง ที่จะหมดกิเลส เพราะว่าแม้ความพอใจเพียงเล็กน้อยก็เป็นกิเลส ไม่ต้องมากไปอย่างคนโลภที่จะใช้คำว่าโลภ เพียงต้องการนิดหน่อย เมื่อเช้านี้อาหารจืดไปนิดหนึ่ง ขอเกลือหน่อย ติดข้องหรือเปล่า แล้วจะหมดกิเลสคือไม่มีความติดข้องในสิ่งใดๆ เลยทั้งสิ้น คิดอย่างนั้นต้องการอย่างนั้นหรือไม่ ที่จะไม่มีความติดข้องใดๆ เลย ไม่มีความขุ่นใจแม้เพียงเล็กน้อยที่เห็นฝุ่น ไม่ต้องเห็นกองขยะ เพียงแค่ฝุ่น ทั้งกลิ่น ทั้งขยะหรืออะไรนิดเดียว ก็เดือดร้อนแล้ว เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วลืม จะถึงนิพพานด้วยกิเลส เป็นไปได้อย่างไร เพราะนิพพานเป็นธรรมเดียวที่สามารถที่จะดับกิเลสได้ ด้วยปัญญาที่รู้แจ้งในสภาพธรรมะซึ่งไม่เกิด เดี๋ยวนี้มีแต่สภาพธรรมะที่เกิด จึงได้ปรากฏ ปรากฏแล้วก็ติดข้อง ชอบไปหมดเลย ชอบสิ่งที่ปรากฏทางตามากมายเลย ดอกไม้ก็ชอบ เสื้อผ้าก็ชอบ เครื่องใช้ก็ชอบ ชอบหมดเลยทุกอย่าง วันนี้มีอะไรที่ไม่ชอบบ้างหรือไม่ ที่ไม่พอใจ ไม่อยากได้ ขณะที่ไม่ชอบก็เป็นกิเลสอีกประเภทหนึ่ง ไม่พ้นไปได้เลย เพราะไม่รู้

        ด้วยเหตุนี้ ฟังเผินๆ เหมือนดีใช่ไหม ไม่อยากมีกิเลส อยากดับกิเลส แต่ชอบนั่น ชอบนี่ โกรธนั่น โกรธนี่ แล้วจะดับกิเลสได้อย่างไร รู้ละว่ากิเลสไม่ดี แต่เป็นเราที่ต้องการ ไม่มีทางที่สิ่งนั้นจะหมดสิ้นไปได้ ด้วยความต้องการ ด้วยความไม่รู้

        ด้วยเหตุนี้ แทนที่จะคิดถึงนิพพาน คิดที่จะขัดเกลากิเลส ยังไม่ดับ ดับไม่ได้เพราะเยอะมาก เยอะมากจริงๆ แค่ขัดเกลาให้น้อยลงบ้างตามโอกาสตามกาละโดยความไม่ใช่เรา แต่เพราะเห็นโทษ และรู้ว่าไม่อยากมีกิเลสแต่ก็มี เพราะฉะนั้นกิเลสจะหมดไปด้วยความอยากไม่ได้แน่นอน ต้องเป็นปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีก่อนตามความเป็นจริง และเห็นโทษ และรู้สภาพธรรมที่เกิดดับเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็ค่อยๆ ละคลายความติดข้อง เพราะขณะที่ติดข้องคิดว่าสิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นไม่ได้ดับไป มีแล้วแต่ไม่รู้ว่าเกิดดับ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าการตรัสรู้ของสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างกับความไม่รู้ของสัตว์โลกแค่ไหน แต่อาศัยพระปัญญา พระมหากรุณาที่ทรงแสดงความจริง ก็ทำให้สัตว์โลกคือผู้ที่มีโอกาสได้ฟัง ได้ไตร่ตรอง ได้เข้าใจความจริง ความเข้าใจมีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ภาษาบาลีใช้คำว่าปัญญาหรือสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งมีมากเหลือเกิน ปรากฏแล้วดับไป ใหม่ทุกครั้ง ไม่ใช่สิ่งเก่าเลย และก็ต้องรู้ไปจนกว่าจะมีความเห็นถูก จนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งการเกิดดับได้ เพราะเหตุว่าความรู้มีหลายระดับ ความรู้ที่เกิดจากการฟัง อย่าลืมว่าไม่ใช่ฟังเฉยๆ ไม่ใช่ฟังแล้วไม่เข้าใจ หรือไม่ใช่เข้าใจเพียงชื่อ แต่ต้องเป็นความรอบรู้ในแต่ละคำ เช่น ธรรมะ หมายความถึงสิ่งที่มีจริง รู้หรือยัง เดี๋ยวนี้มีธรรมะที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เมื่อไม่รู้แต่ก็เป็นธรรมะ

        เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าการที่จะรู้จักธรรมว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ยากไหม กำลังโกรธ ฟังมาว่าสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม แล้วโกรธขณะนั้นเป็นธรรมหรือไม่ ลืมไปแล้ว กำลังชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใด สิ่งที่มีจริงคือชอบ สิ่งที่ปรากฏก็มีจริง เกิดขึ้น และก็ดับไป เป็นธรรม แต่ขณะที่กำลังพอใจเป็นธรรมหรือไม่

        เพราะฉะนั้นกว่าจะอบรมเจริญปัญญาจนรู้ทั่วในสิ่งที่มีที่ปรากฏให้รู้ได้ นานหรือไม่ เพราะฉะนั้นมีคำว่าจิรกาลลภาวนา จิระ แปลว่านาน ยาวนาน กาละ ก็เป็นเวลา วันสองวันไม่มีทางที่จะรู้ความจริงซึ่งไม่รู้มานานแสนนาน และความจริงเกิดดับนับไม่ถ้วน และกว่าจะรู้จนทั่วจนกระทั่งค่อยๆ คลายความไม่รู้จะต้องนานสักเท่าไร

        เพราะฉะนั้นเวลาที่อ่านหรือฟังข้อความในพระไตรปิฏก ไม่สงสัยเลย สาวกท่านพระสารีบุตรบำเพ็ญบารมีจนกระทั่งได้เป็นพระโสดาบันเมื่อได้ฟังท่านพระอัสสชิกล่าวความจริงให้ท่านได้ทราบ เพียงไม่กี่คำ แต่ปัญญาที่ท่านสะสมมาหนึ่งอสงไขยแสนกัป แต่เราไม่ต้องเป็นท่านพระสารีบุตร สำหรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีอัครสาวกผู้ยิ่งด้วยปัญญาเพียงหนึ่งองค์ และผู้ยิ่งด้วยอิทธิปาฏิหารย์ก็เพียงหนึ่ง เพราะฉะนั้นมหาสาวกก็รู้มากกว่าสาวกธรรมดามาก และสาวกธรรมดาที่ไม่ได้กล่าวถึงก็มาก จะเป็นใคร หรือเป็นใครก็ได้ แต่ถ้าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยิ่งยาก เพราะว่ามีผู้ที่บำเพ็ญบารมีมาแล้ว และกำลังบำเพ็ญอยู่ต่อไป เพราะฉะนั้นกว่าจะถึงอันดับของผู้ที่เริ่มจะบำเพ็ญ ก็นาน และก็ต้องเป็นผู้ที่มีอัธยาศัยใหญ่จริงๆ ฟังวันนี้ เพราะว่าธรรมละเอียดลึกซึ้งอย่างนี้ แล้วผู้ไม่รู้มีมากมาย จะมีความกรุณาให้เขาได้รู้อย่างนี้ โดยการที่กว่าจะได้ตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญพระบารมียิ่งกว่าใคร พร้อมหรือไม่ หรือว่าแค่สาวกก็ยังดี แค่เพียงฟังให้เข้าใจนี้ก็ยาก เพราะต้องเข้าใจแต่ละคำ อย่างคำว่านิมิต พอเข้าใจแล้ว ใครพูดรู้เลย คนนั้นรู้จักคำนี้หรือเปล่า เข้าใจคำนี้หรือเปล่า

        เพราะฉะนั้นมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง ฟัง แล้วก็ไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความรู้เป็นความเข้าใจของเราเอง ด้วยเหตุนี้ทุกคำจึงต้องละเอียด คำว่าธรรมะเข้าใจแน่นอนแล้ว นิมิต เข้าใจแล้ว นิพพานไม่ใช่จิต ไม่ใช่เจตสิก ไม่ใช่รูป แล้วมีจิตขณะนี้ยังไม่รู้ แล้วจะรู้นิพพานได้อย่างไร แต่มีจริงแน่นอน ถ้าไม่มี ไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปคิดถึงเลยคำนี้ เพียงแค่สิ่งที่มีอยู่นี้ ฟังให้เข้าใจ รอบรู้คือไม่สงสัยในคำว่าธรรม ไม่สงสัยในคำว่านิมิตตะ เป็นต้น และคำอื่นๆ ที่ได้ยินทั้งหมดต้องเข้าใจขึ้น เป็นความรอบรู้ขั้นฟัง ชื่อว่าปริยัติ


    หมายเลข 10529
    10 ก.พ. 2567