ตอนนี้ไม่มีบริวารเลย ต้องทำบุญยังไงบ้าง

 
jon1977
วันที่  11 ส.ค. 2551
หมายเลข  9543
อ่าน  45,523

ผมตัวคนเดียวไม่มีพ่อแม่ พี่น้องลูกเมียและเพื่อนฝูงเลย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะกรรมอันใด ผมอยากทราบว่าผมควารจะทำบุญแบบไหนครับจะได้เกื้อหนุนให้กรรมที่ต้องอยู่ตามลำพังนี้หมดสิ้นไปได้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 11 ส.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน เป็นธรรมดาของโลกโดยสมมติที่จะต้องอยู่ตัว

คนเดียวบ้าง หรือมีญาติมิตร สหายบ้างตามแต่กรรมใดจะบันดาลไปซึ่งไม่ใช่วิสัยที่สามารถจะรู้ได้ว่าเป็นกรรมใด แต่ควรเข้าใจความจริงว่า จริงๆ แล้วสิ่งใดมีจริง ตัวเรามีจริง พี่น้องมีจริงหรือมีแต่สภาพธรรมที่คิดนึก ที่เห็น ที่ได้ยินที่เป็น จิต เจตสิก รูป ขณะที่หลับพ่อแม่ มีไหม พี่ น้องมีไหม ขณะที่คิดนึกถึงเรื่องอื่น ขณะนั้นมีพ่อ แม่ พี่น้องไหม มีเพราะคิดนึกเท่านั้นเอง สิ่งที่มีจริงคือสภาพธรรม พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงเพื่อให้ไถ่ถอนความเห็นผิดว่ามีสัตว์ บุคคล เมื่อเข้าใจความจริงมากขึ้นตามที่กล่าวมา แม้ในขั้นการฟัง ความทุกข์ก็น้อยลงเพราะเข้าใจความจริง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 11 ส.ค. 2551

หากจะกล่าวว่าอยู่ผู้เดียวนั้น จริงๆ แล้วแต่ละท่านที่ยังมีกิเลสก็ยังมีเพื่อนสนิทที่คอย

บอกให้ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ เพื่อนสนิทที่สุดคือโลภะ ความยินดีพอใจ ติดข้อง ซึ่งจะเห็นได้ว่า ติดข้องแม้ความอยากมีเพื่อน เพื่อเวทนาความรู้สึกที่เป็นสุขทางใจเท่านั้น

ซึ่งเห็นได้ว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวเลยแต่มีโลภะเป็นเพื่อนสอง ติดตามไปตลอดเวลา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 11 ส.ค. 2551

ส่วนบุญที่ทำให้มีบริวารคือ การชักชวนผู้อื่นทำบุญ

"คนหนึ่งทั้งตนเองก็ถวาย ทั้งชักชวนคนอื่น ผู้นั้นย่อมได้ทั้งโภคสมบัติ ทั้งบริวารสมบัติ ในที่แห่งตนเกิดแล้วๆ สิ้นร้อยอัตภาพบ้าง พันอัตภาพบ้าง แสนอัตภาพบ้าง." (พระไตรปิฎกเล่ม ๔๐ หน้า ๑๐๗) ที่สำคัญ ปัญญาต่างหากประเสริฐ หากมีปัญญาแล้วอยู่ผู้เดียวก็ย่อมไม่ทุกข์และสามารถดำเนินชีวิตในที่งามและเป็นกุศล แต่แม้มีบริวารมากแต่ขาดปัญญาย่อมนำมาซึ่งการดำเนินชีวิตที่ไม่ถูกต้องและก็ต้องเป็นทุกข์เพราะบริวารนั่นเอง อบรมปัญญาดีกว่านะครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 11 ส.ค. 2551

๐๐๕๑๙ แม้ตัวเราก็ไม่มี

คนพาลย่อมเดือดร้อนว่า บุตรทั้งหลาย ของเรามีอยู่, ทรัพย์ (ของเรา) มีอยู่ ตนแลย่อมไม่มีแก่ตน บุตรทั้งหลายจักมีแต่ที่ไหน ทรัพย์จักมีแต่ที่ไหน เรื่องอานนทเศรษฐี

[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ ๑๕๐

ธรรมเตือนใจวันที่ : ๑๑-๐๘-๒๕๕๑

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
LNS
วันที่ 12 ส.ค. 2551

คำแนะนำ ๒-๔ กระผมไม่เข้าใจเลยครับ อ่านหลายรอบแล้วก็ไม่เข้าใจครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jon1977
วันที่ 12 ส.ค. 2551
ไม่เข้าใจเลยครับ แค่อยากรู้ว่าจะทำบุญยังไงครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
suwit02
วันที่ 12 ส.ค. 2551

แค่คุณเขียนมาตรงนี้ คุณก็มีเพื่อนในวันนี้อย่างน้อย ๓ คนแล้ว คือ

๑. คุณเผดิมและคุณสุวิทย์ เพราะเขาสนใจตอบคำถามของคุณ

๒. คุณ LNS เพราะเขาสนใจสิ่งเดียวกับคุณ

ฉะนั้นถ้าคุณกำลังได้รับกรรมวิบาก ทำให้ไร้ญาติขาดมิตร วิบากดังกล่าวก็คงใกล้จะหมดกำลังแล้ว เพราะคุณใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อยก็หาเพื่อนได้ไม่น้อยกว่าสามคน ในเวลาเพียงวันเดียวเท่านั้น ตอนนี้คุณคงรู้วิธีหาเพื่อนแล้วนะครับ ผมคาดว่าในอนาคตอันใกล้ คุณจะมีเพื่อนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วคุณก็คงอยากให้เพื่อนๆ รักนับถือและเกื้อกูลคุณใช่ไหมครับ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว ขอเชิญคุณอ่านพระสูตรต่อไปนี้นะครับ

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ ๑๑๗

๒. [เล่มที่ 35] สังคหสูตร

ว่าด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการ

[๓๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังคหวัตถุ (ธรรมเป็นเครื่องสงเคราะห์) ๔ ประการนี้

สังคหวัตถุ ๔ ประการ คืออะไร คือ

ทาน (การให้ปัน) ๑

เปยยวัชชะ (เจรจาไพเราะ) ๑

อัตถจริยา (บำเพ็ญประโยชน์ต่อกัน) ๑

สมานัตตตา (ความวางตนสม่ำเสมอ) ๑

นี้แล ภิกษุทั้งหลาย สังคหวัตถุ ๔ ประการ.

การให้ปัน ๑ เจรจาไพเราะ ๑ บำเพ็ญประโยชน์ ๑ ความวางตนสม่ำเสมอในธรรมนั้นๆ ตามควร ๑ เหล่านี้แลเป็นธรรมเครื่องสงเคราะห์ในโลก เหมือนสลัก (ที่หัวเพลา) คุมรถที่แล่นไปอยู่ฉะนั้น

ถ้าธรรมเครื่องสงเคราะห์เหล่านี้ไม่มีไซร้ มารดาหรือบิดาก็จะไม่พึงได้รับความนับถือหรือบูชาเพราะเหตุบุตร ก็เพราะเหตุที่บัณฑิตทั้งหลายยังเหลียวแลธรรมเครื่องสงเคราะห์เหล่านี้อยู่ เพราะเหตุนั้นบัณฑิตเหล่านั้นจึงได้ถึงความเป็นใหญ่และเป็นที่น่าสรรเสริญ.

จบสังคหสูตรที่ 2

และหากคุณอยากมีบริวารมากๆ ขอเชิญอ่านพระสูตรนี้ครับ

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ ๔๓๖

๔. [เล่มที่ 37] ทุติยหัตถกสูตร

ถ้าคุณสงสัยอะไร ก็ขอเชิญถามนะครับ ถามมากขึ้นก็มีเพื่อนมากขึ้นนะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
wannee.s
วันที่ 12 ส.ค. 2551

ในพระไตรมีปิฏกมีแสดงไว้ คนที่ทำบุญแล้วชักชวนคนอื่นให้ทำบุญด้วย เช่น การให้ทาน เป็นเหตุให้ได้โภคทรัพย์และมีบริวาร หรือเพื่อนค่ะ ส่วนคนที่ทำบุญแล้วไม่ได้ชวนคนอื่นเป็นเหตุให้ได้โภคทรัพย์แต่ไม่มีบริวารหรือเพื่อน สรุปทำกุศลอะไรก็ได้แล้วชวนให้คนอื่นทำด้วย ก็เป็นเหตุให้มีเพื่อนและบริวารค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Anutta
วันที่ 12 ส.ค. 2551

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
paderm
วันที่ 12 ส.ค. 2551

ยินดีที่ร่วมสนทนาครับ สรุปคืออยากให้มีความเข้าใจถูกก่อนครับ คือให้อบรมปัญญา ดังนั้นควรเริ่มฟังพระธรรมก่อนครับ เมื่อมีความเข้าใจถูก ปัญหาที่ถามก็จะเข้าใจขึ้นว่า เราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ดี เพราะมีปัญญา ซึ่งก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรม กัลยาณมิตรครับ ลองคลิกฟังธรรมที่นี่นะครับทำบุญเพื่ออะไรที่สำคัญที่สุดคือการอบรมปัญญาถ้าไม่ฟัง ไม่มีปัญญาดับกิเลสได้ธรรมคือ สิ่งที่มีจริงสำหรับการที่ทุกท่าน เกิดมาพบกันในแต่ละชาติในสังสารวัฏ โดยสถานต่างๆ บางชาติก็เป็นเพื่อนฝูง มิตรสหาย บางชาติก็อาจจะเป็นศัตรู หรือบางชาติอาจจะเป็น มารดา บิดา เป็นญาติพี่น้อง แต่ว่าการพบกันในชาติที่เกิ้อกูลเป็นมิตรกันในพระธรรมหรือว่ามีส่วนร่วมกันเผยแพร่พระธรรม ชาตินั้นก็ต้องเป็นชาติที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏ ยิ่งกว่าชาติอื่นๆ ซึ่งกิดมาในสถานอื่นไม่ต้องไปหาเพื่อน ขณะนี้ก็เป็นเพื่อนกันในพระธรรมแล้วครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
khampan.a
วันที่ 12 ส.ค. 2551

การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นผลของกุศลกรรม อย่างน้อยๆ ก็เพิ่มพูนความมั่นคงในเรื่องกรรมและผลของกรรมได้บ้าง เมื่อเหตุดี ผลก็ต้องดี ดังนั้น เมื่อได้อัตภาพความเป็นมนุษย์แล้ว จึงไม่ควรประมาทในการเจริญกุศลประการต่างๆ รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ด้วย สำหรับการเจริญกุศลในชีวิตประจำวันนั้นดีที่สุด คือไม่หวัง ความดีเป็นสิ่งที่ควรจะอบรมเจริญให้มีขึ้นในชีวิตประจำวัน เพราะเหตุว่าวันหนึ่งๆ อกุศลจิตเกิดบ่อยมาก แม้แต่ขณะที่กำลังฟังพระธรรมอยู่แท้ๆ อกุศลจิตก็ยังสามารถที่จะเกิดแทรกได้เลย (คงไม่ต้องกล่าวถึงขณะที่ไม่ได้ฟังพระธรรม) ถ้าไม่ได้เจริญกุศล ก็ย่อมเปิดโอกาสให้อกุศลเกิดหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ..

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
khampan.a
วันที่ 12 ส.ค. 2551

การเจริญกุศลในทางพระพุทธศาสนานั้น เป็นไปเพื่อละคลาย เป็นไปเพื่อละกิเลส ไม่ใช่เป็นไปเพื่อการเพิ่มพูนซึ่งกิเลส หรือเพิ่มพูนซึ่งความติดข้องในผลของกุศล ถ้าหากว่าในชาตินี้ ตัวท่านไม่มีเพื่อน ไม่มีบริวาร ก็ควรที่จะพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส คือเตือนตัวเองได้ทันทีว่า ในชีวิตประจำวันที่กำลังดำเนินไปอยู่นี้ มีความเป็นมิตร มีความเป็นเพื่อน มีความจริงใจกับบุคคลรอบข้าง บ้างหรือยัง มีการช่วยเหลือเกื้อกูล ให้ความเป็นกันเองกับบุคคลอื่น ด้วยจิตใจโอบอ้อมอารี บ้างหรือยัง ไม่ว่าบุคคลอื่นจะเป็นอย่างไร มีพฤติกรรมอย่างไร เราก็สามารถที่จะอบรมเจริญเมตตาได้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใส่ชื่อว่า เมตตา หรือ มิตร หรือ เพื่อน ก็ตาม เพราะว่าขณะที่มีความเป็นมิตร มีความเป็นเพื่อนกับบุคคลอื่นนั้น เป็นกุศล ถึงแม้จะไม่มีเพื่อน แต่ท่านก็สามารถที่จะเจริญเมตตา (ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน) กับบุคคลอื่นได้ ครับ ..

...ขออนุโทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
เมตตา
วันที่ 12 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ปริศนา
วันที่ 13 ส.ค. 2551

ผลย่อมมาแต่เหตุ ฉันใดกรรมดีทั้งหลาย ย่อมเป็นเหตุแห่งผลที่ดีฉันนั้น.

การมีมิตรแท้ เพียงคนเดียวมีค่ากว่าการมีมิตรเทียม มากมายหลายคน.

สิ่งที่ล่วงไปแล้วก็แล้วไป สิ่งที่ยังมาไม่ถึงก็ไม่ต้องไปกังวลถึงปัจจุบันเท่านั้น ที่เป็นเวลาอันมีค่าที่จะกระทำความดีทุกประการเพื่อความเจริญทุกประการ.
แต่ต้องไม่ลืมว่าจุดประสงค์สูงสุดของการศึกษาพระธรรมคือ ในที่สุด (แห่งการศึกษา) คือนิพพาน

ความดับทุกข์ที่แท้จริงการไม่ต้องเกิดมา (พบกับความทุกข์อีก) อดทน อดทน อดทน.อดทนด้วยความเห็นถูกมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง คือไม่ทิ้งการศึกษาพระธรรมไปจนวันตายโดยไม่คาดหวังไม่ลืมว่าศึกษาธรรมะ เพื่อความรู้ความเข้าใจ ความเข้าใจเป็นเหตุแห่งปัญญา ปัญญาเป็นเหตุให้พ้นทุกข์

ขออนุโมทนาและจงมีพระธรรมเป็นที่พึ่งจงอย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง.

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ajarnkruo
วันที่ 13 ส.ค. 2551

กุศลทุกประการควรเจริญครับ ไม่ควรจะเลือกทำบางอย่าง แล้วเว้นบางอย่างที่ใกล้ตัวที่อาจจะไม่เคยได้ทำเลย เช่น การมีความเป็นเพื่อนกับบุคคลที่พบเจอในชีวิตประจำวันมีการยิ้ม มีการทักทาย สอบถามสุข ทุกข์ ความเป็นอยู่ตามสมควร พวกเขาอาจจะไม่ใช่ญาติ แต่ถ้าเมตตาเกิด แม้ไม่ใช่ญาติ ก็ทำดีด้วยกาย วาจาแก่เขาเหล่านั้นได้ดั่งญาติครับ เพราะฉะนั้น อย่างไหนจึงจะดีกว่า ระหว่าง มีเมตตาให้กับผู้อื่นในชีวิตประจำวันได้ทันที หรือหาทาง หาวิธีทำบุญ เพื่อรอผลของบุญที่จะให้ผลเป็นบริวาร

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
paderm
วันที่ 13 ส.ค. 2551

๐๐๕๒๑ ความเจริญปัญญาประเสริฐที่สุด

[๗๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเสื่อมญาติมีประมาณน้อย ความเสื่อมปัญญาชั่วร้ายที่สุดกว่าความเสื่อมทั้งหลาย.

[๗๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเจริญด้วยญาติมีประมาณน้อย ความเจริญด้วยปัญญาเลิศกว่าความเจริญทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงสำเนียกอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายจักเจริญด้วยปัญญา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงสำเนียกอย่างนี้แล. [เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๔๓

ธรรมเตือนใจวันที่ : ๑๓-๐๘-๒๕๕๑

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
choonj
วันที่ 14 ส.ค. 2551

คุณ ปริศนา เป็นแมวตัวสีน้ำตาลหรือสีดำครับ แมวยังมีเพื่อนเลย ทำตัวน่ารักก็มีเพือนเองละ แล้วที่นี้ก็จะปวดหัวกับเพื่อน
 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 14 ส.ค. 2551

การมีเพื่อนคงไม่ต้องรอผลของบุญแต่เพียงอย่างเดียวสามารถมีได้ด้วยการแก้ไขตนเองตามที่สหายธรรมแนะนำ คำว่าเพื่อนมีเมื่อคิด หากไม่คิดก็ไม่มีถ้าตรวจสอบตัวเองว่าเป็นเพือนที่ดีกับคนอื่นแล้ว ยังไม่มีเพื่อน (ดี) การยอมรับสิ่งที่มี ที่เป็นอยู่ดีที่สุด

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
ปริศนา
วันที่ 14 ส.ค. 2551


ใช่ค่ะ คุณชุณห์ทำตัวน่ารักก็มีเพื่อนเองล่ะ เราชอบคนดีที่น่ารักโอบอ้อมอารีย์ ฉันใดคนอื่นเขาก็ชอบเช่นเดียวกัน ถ้าจะมีเพื่อนดีก็ต้องเป็นคนดีก่อนแล้วเพื่อนดีๆ จะมาเอง.ปล.สิ่งที่สมมติว่าเป็นรูปภาพแมวไม่ว่าจะสีดำหรือสีส้มหรือสีอะไรก็เป็นเพียงสิ่งสมมติที่ข้าพเจ้าใช้แทนความหมายของชื่อ คือ"ความเป็นมิตร"

แต่ความเป็นมิตรจริงๆ มีแต่ลักษณะ ไม่ต้องใช้ชื่อใดๆ เลยค่ะ.สีปรากฏ เมื่อเป็นอารมณ์ของจักขุวิญญาณ แต่ชื่อและความหมาย มีเมื่อคิดทางมโนทวารค่ะ อนุโมทนา.

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
happyindy
วันที่ 14 ส.ค. 2551

โห คุณ jon1977 ตอนนี้มีเพื่อนเยอะเลยนะคะ

เข้ามาสนทนาธรรมที่นี่บ่อยๆ สิคะ เพื่อนที่นี่ ดีๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ

อืมม์.....

แมวตัวสีน้ำตาลสงสัยจะเป็นคุณปริศนาด้วยการสมมติ ตัวสีดำก็คงเป็นอินดี้ ด้วยการสมมติ ด้วยการคิดนึกทั้งๆ ที่เป็นเพียงสี

อืมม์.....

* * * * * ขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ * * * * *

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
choonj
วันที่ 15 ส.ค. 2551


แมวตัวสีน้ำตาลเป็นคุณปริศนา แมวตัวสีดำเป็นคุณอินดี้เพราะตัวดำ แล้วผมละอยู่ที่ไหน คุณปริศนาต้องเพิ่มมาอีกตัวแล้วครับ เพิ่มไปเพิ่มมาเดียวก็มีแมวเต็มไปหมด เห็นไหมมีเพื่อนไม่ยากเลย

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
suwit02
วันที่ 15 ส.ค. 2551

อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ ๒๑ โดย choonj
แมวตัวสีน้ำตาลเป็นคุณปริศนา แมวตัวสีดำเป็นคุณอินดี้เพราะตัวดำ แล้วผมละอยู่ที่ไหน คุณปริศนาต้องเพิ่มมาอีกตัวแล้วครับ เพิ่มไปเพิ่มมาเดียวก็มีแมวเต็มไปหมด เห็นไหมมีเพื่อนไม่ยากเลย

ไม่ต้องเพิ่มแมวในภาพหรอกครับ เพราะคุณชุณห์คือสิ่งที่ปรากฏทางตาซึ่งสองสหายกำลังมองเห็นอยู่ครับ

ในภาพนี้ คุณชุณห์เห็นผมไหมครับ ก็ต้นหญ้าไงครับ

ปล. ภาพนี้ ปริศนาทำครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
kaewin
วันที่ 15 ส.ค. 2551

ปกติ ชีวิต ประจำวันเราก็ตัวคนเดียวอยู๋ในโลกนี้คนเดียวตลอดอยู่แล้วนี่นาลองสังเกตุดูนะครับ

๑. เวลากินข้าวกันเป็นกลุ่มๆ ๆ เพื่อน เยอะๆ ๆ เวลาอิ่มเราอิ่มคนเดียว หรือมีเพื่อนมาร่วมอิ่มรึเปล่า

๒. เวลาเห็นกันเป็นกลุ่มๆ ๆ เราเห็นเหมือนเพื่อนเห็นรึเปล่า

๓. เวลาคิดกันเป็นกลุ่มๆ ๆ คิดเหมือนกัน รึเปล่า เป็นต้น ส่วนการอยากมีเพื่อนมากๆ ๆ การมีเมตตา (คือความเป็นมิตร) บ่อยๆ ๆ เมื่อกุศลเกิดเดี๋ยวบุญนี้ก็จะไปเบียดเบียนอกุศล คือความไม่มีเมตตา ไม่ให้เกิดเองแหล่ะคร๊าบ

..ขออนุโมทนา สาธุ ในกุศล กับ ทุกความคิด ครับ.....

 
  ความคิดเห็นที่ 24  
 
jon1977
วันที่ 16 ส.ค. 2551

ขอบพระคุณทุกความคิดเห็นครับ ผมพอจะเข้าใจบ้างแล้ว และจะหมั่นทำกรรมดี และเจริญปัญญา ว่าแต่มีที่ไหนแนะนำให้ไปวิปัสนากรรมฐานขั้นพื้นฐานบ้างครับ ช่วยแนะนำด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 25  
 
paderm
วันที่ 16 ส.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ขออนุโมทนาครับ และยินดีในกุศลศรัทธาของคุณด้วยครับ

ขอให้ศึกษาธรรมให้เข้าใจก่อน แม้ในเรื่องการเจริญวิปัสสนาครับ

ที่มูลนิธิศึกษาพระเผยแพร่พระพุทธศาสนา สอนให้เข้าใจเรื่องการเจริญวิปัสสนาตั้งแต่เบื้องต้นพื้นฐานนะครับ

เชิญแวะมาได้นะครับ มีสนทนาทั้งวันเสาร์และอาทิตย์ คลิกที่นี่ครับรายการธรรมะที่มูลนิธิฯ...ทุกวันเสาร์

รายการธรรมะที่มูลนิธิฯ...ทุกวันอาทิตย์

ขอเชิญมาฟังธรรม สนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ และร่วมสนทนากันในเวปนี้อีก ถ้ามีอะไรสงสัยเพิ่มเติมนะครับการเจริญปัญญาประเสริฐที่สุด อนุโมทนาครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 26  
 
ajarnkruo
วันที่ 16 ส.ค. 2551

ขอแนะนำว่า...ค่อยๆ ศึกษาเพื่อให้เข้าใจความจริงตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงครับ จะไปศึกษาวิปัสสนาที่ไหนก็ตาม ไปเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ที่ใดมีกัลยาณมิตรคอยอนุเคราะห์ เกื้อกูล แสดงธรรมที่ถูกต้องให้ ที่นั้นก็สมควรอย่างยิ่งที่จะไป แต่ถ้าที่ใดไม่แน่ใจว่า เขาจะเป็นกัลยาณมิตรทางธรรมจริงไหม ควรศึกษาพื้นฐานเบื้องต้นให้เข้าใจตั้งแต่คำว่า "ธรรมะคืออะไร" ก่อน เพราะการศึกษาธรรมะต้องเป็นไปตามลำดับขั้นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 28  
 
wirat.k
วันที่ 21 ส.ค. 2551

เพื่อนเยอะแล้วนะครับ หาโอกาสไปที่มูลนิธิซิครับ มีเพื่อนที่ควรคบทั้งนั้นเลยแล้วอย่าเพิ่งไปปฏิบัติอะไรที่ไหนนะครับ เหนื่อยเปล่า ไปถามให้เข้าใจก่อนที่จะทำอะไร หรือฟัง อ่านที่ทุกท่านแนะนำให้เข้าใจก่อนทำบุญมาดีนะครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 29  
 
gluayhom
วันที่ 19 มี.ค. 2557

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 30  
 
lovedhamma
วันที่ 6 ก.พ. 2558

เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 31  
 
Back
วันที่ 7 เม.ย. 2561

เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 32  
 
Back
วันที่ 7 เม.ย. 2561

เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ