ไม่มีเรา แล้วมีอะไร?

 
Pararawee
วันที่  4 ส.ค. 2551
หมายเลข  9458
อ่าน  4,675

อาจจะเป็นเรื่องที่ทำใจยากสำหรับคนที่ได้รับฟังธรรมะจากท่านอาจารย์สุจินต์ ว่าไม่มีเรา ไม่มีตัวตน สัตว์ บุคคล มีแต่สภาพธรรมะ ที่ได้สังเกต คือ สำนักอื่นที่สอนๆ กันไม่ค่อยจะเน้นเรื่องนี้สักเท่าไหร่

ส่วนมากจะแนะนำให้นั่งสมาธิ แล้วเป็นการสอนแบบผิวเผินโดยมากจึงไปกับเรื่องจะเอา ไม่ใช่เรื่องละ แต่หลักคำสอนของพระพุทธศาสนาสอนให้แต่จะเอาๆ หรือเปล่า นั่นคือประเด็น

ผู้มีปัญญาเท่านั้นจะแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนคือความเห็นถูก สิ่งไหนคือความเห็นผิด ส่วนตัวข้าพเจ้าเมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมก็ได้ระลึกเสมอๆ ว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะ

กระทู้นี้อันที่จริงต้องการจะสนทนาประเด็นไม่มีเรา ->

ที่บอกว่าไม่มีเราน่ะ สหายธรรมว่าไม่มีอย่างไร?

ไม่มีตัวตนที่จะไปทำ แล้วอะไรทำ?

ระหว่างหลงลืมสติ กับ มีสติ แตกต่างกันอย่างไร?

แลกเปลี่ยนมุมมองใหม่ๆ กันนะคะ

อนุโมทนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
suwit02
วันที่ 4 ส.ค. 2551

เห็นด้วยและขอฟังด้วยคน

ขออนุโมทนาผู้ตั้งกระทู้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
พุทธรักษา
วันที่ 4 ส.ค. 2551

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 4 ส.ค. 2551

เมื่อฟังธรรมะเข้าใจถูกเห็นถูก ปัญญาจะทำหน้าที่เอง ไม่มีเรา เพราะเกิดแล้วดับหมดไปแล้ว แต่เพราะอวิชชาความไม่รู้ในสภาพธรรมะ จึงยึดว่านั่นของเรา นั่นเป็นเรา ฯลฯ ถ้าสติเกิดระลึกเป็นไปในทาน ศีล ภาวนา แต่ถ้าหลงลืมสติก็เป็นอกุศลที่เพลิดเพลินไปกับโลภะ โทสะ โมหะ ฯลฯ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เซจาน้อย
วันที่ 4 ส.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
opanayigo
วันที่ 4 ส.ค. 2551

กระทู้นี้อันที่จริงต้องการจะสนทนาประเด็นไม่มีเรา ->

ที่บอกว่าไม่มีเราน่ะ สหายธรรมว่าไม่มีอย่างไร?

ไม่มีตัวตนที่จะไปทำ แล้วอะไรทำ?

ระหว่างหลงลืมสติ กับ มีสติ แตกต่างกันอย่างไร?

แลกเปลี่ยนมุมมองใหม่ๆ กันนะคะ

ก่อนอื่นขออนุโมทนาในกุศลเจตนาสำหรับกระทู้นี้ค่ะ เป็นการเปิดประเด็นในการสนทนากันเพื่อให้เกิดปัญญา

เข้าประเด็นกระทู้ดีกว่า ตามความเข้าใจในขณะนี้ที่ว่า ไม่มีเราแล้วอะไรทำขอตอบว่า สติทำ (ไม่ใช่ไปทำสตินะคะ..อิอิ)

ระหว่างที่หลงลืมสติก็เป็นเราทุกที ยื่นตัวแสดงตน อกุศลเบิกบาน มารู้ตัวอีกที..อ้าว กิเลสเอาไปกินอีกแล้ว (เช่น หิ้วถุงเสื้อผ้ากลับบ้าน มานั่งคอตกที่บ้านว่ามาได้ไงนี่) เวลาที่หลงลืมสติก็เป็นอกุศลทุกที และก็เป็นจริงอย่างท่านอาจารย์ว่า วันหนึ่งๆ อกุศลมากมายเหลือเกิน บางขณะคิดจะทำกุศลแท้ๆ เผลอไปมาก็ลืม ลืม ไม่จำ ไม่จำ ไม่จำบังคับก็ไม่ได้มันมาเองเพราะสติไม่มั่นคงก็ต้องอดทนๆ ๆ อบรมไปเรื่อยๆ และคงสะสมกิเลสมามากมันถึงมีกำลังมากเหลือเกิน เพราะสติมีนิดเดียว แต่ความติดอกติดใจในรูป รส กลิ่น เสียงเนี่ยถ้าเป็นไม้กระดกก็หนักติดพื้นเลยค่ะ

แต่เมื่อสติเกิดก็เกิดเอง เช่น กำลังจะโกรธแล้วเชียว จู่ๆ ก็นึกได้ว่าเป็นอกุศลนี่ ไม่ดีๆ มันก็หยุดแค่นั้นพอลืมเดี๋ยวก็เกิดหมั่นไส้ไม่พอใจคือดูแล้วตัวเองเหมือนคนสติไม่ดีค่ะยังไงก็จะขอฟังไปเรื่อยๆ

เครียดๆ ขำๆ ก็เป็นธรรมะ (ขอขอบคุณวลีของคุณวีระยุทธ์ทำให้ร่าเริงในการศึกษาพระธรรมค่ะ) ที่ได้สังเกต คือ สำนักอื่นที่สอนๆ กันไม่ค่อยจะเน้นเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ส่วนมากจะแนะนำให้นั่งสมาธิ แล้วเป็นการสอนแบบผิวเผินโดยมากจึงไปกับเรื่องจะเอา ไม่ใช่เรื่องละสำหรับประเด็นนี้ ไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมดค่ะ

เพราะเคยปฎิบัติแบบเป็นรูปแบบ (ประมาณ 4 ครั้ง) ไปเพราะความอยากรู้ของตัวเองว่าเป็นอย่างไร? เราเป็นคนอดทนสั้นจริงหรือ? (คนรอบตัวมักว่าเราเอาแต่ใจตัวเองและเจ้าอารมณ์ค่ะ) โดยส่วนตัวไม่ชอบเพราะอึดอัด จะชอบตอนฟังธรรมมากที่สุดโดยเฉพาะจากพระไตรปิฎก ชาดก สังเกตว่าจะมีความอดทนในการนั่งฟังได้นานๆ

แต่ไม่ชอบตอนสอบอารมณ์ที่ต้องรายงานผลเพราะไม่รู้จะพูดอะไร และไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพูด? เพราะต้องทำอะไรช้าๆ เหมือนกันทุกวัน อึดอัดในการทำกริยาที่ไม่ปกติ หลังจากนั้นก็ไม่ไปอีกเลย จนพี่ทางธรรมท่านหนึ่งเห็นอุปนิสัยส่งซีดีท่าน อ. สุจินต์มาให้ฟังและก็ฟังมาตลอด

แต่แง่ดีที่ได้รับมาคือ การทำอะไรซ้ำๆ ทำให้เห็นชัดขึ้นว่าวันๆ ก็ต้องพามันไปกินข้าว เพราะหิว แล้วก็ง่วง กินแล้วก็ต้องพาไปขับถ่ายไม่ไปก็ทุกข์ ปลดปล่อยแล้วก็สบายแล้วก็กินใหม่ แล้วก็ทุกข์อีกไปปลดทุกข์ เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด เห็นความไม่สวยของร่างกายเพราะรักษาศีล 8 (เห็นหนังเหี่ยว+ขนขาขึ้น+หน้าดูไม่จืดเวลาที่ไม่มีแป้ง ปกติจะห่วงสวยห่วงงาม) ได้ทำอะไรที่ขัดกับกิเลสตัวเองปกติติดกาแฟตอนบ่ายแต่พอไม่มีให้กินก็ผ่านมาได้เหมือนกันแฮะ

มีเวลาได้ทบทวนชีวิต พิจารณาตัวเอง ฝึกความอดทน ต้องไปนอนรวมกับคนไม่รู้จัก เลือกไม่ได้ สิ่งที่ตัวเองได้มาคือ อดทนต่อสิ่งไม่ชอบใจได้มากขึ้น ช้อปปิ้งน้อยลงมาก แสวงหาสิ่งมาบำรุงรักษาตนเองน้อยลง เป็นคนทานง่ายขึ้น บ่นกับสิ่งรอบๆ ตัวน้อยลงสรุปว่า ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกการกระทำควรประกอบด้วยปัญญา ไตร่ตรองก่อนว่า ทำเพราะอะไร ทำไมต้องทำเช่นนั้น มีประโยชน์อย่างไร ขัดเกลาเพื่ออะไร เพื่อละ ไม่ใช่เพื่อเอาก็คงตามเหตุปัจจัยและการสะสม ของแต่ละคนเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลจริงๆ

ดีใจที่มีโอกาสศึกษาพระธรรมและสนทนากับสหายธรรมทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
paderm
วันที่ 4 ส.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ที่บอกว่าไม่มีเราน่ะ สหายธรรมว่าไม่มีอย่างไร?

ไม่มีเราเพราะมีแต่สภาพธรรม ไม่มีเราที่ไปบังคับบัญชาธรรมได้

ไม่มีตัวตนที่จะไปทำ แล้วอะไรทำ?

ธรรมทำหน้าที่ สติเกิดทำหน้าที่ระลึก ปัญญาเกิดทำหน้าที่รู้ตามความเป็นจริง เป็นต้น

ระหว่างหลงลืมสติ กับ มีสติ แตกต่างกันอย่างไร?

ขณะสติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ขณะที่หลงลืมสติ สติและปัญญาไม่ได้เกิดที่จะรู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เป็นเรื่องราวไป ไม่ได้รู้ลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรม

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Pararawee
วันที่ 5 ส.ค. 2551

ธรรมะเข้าใจยากและลึกซึ้งจริงๆ ที่บอกว่าเข้าใจๆ ตอบได้นั้น ส่วนตัวข้าพเจ้าเองยอมรับว่าก็เป็นแค่เรื่องราวแต่การเข้าถึงลักษณะเฉพาะต่างๆ ของธรรมะแต่ละอย่าง ความไม่มีตัวตน สัตว์ บุคคลจริงๆ นั้นเป็นอนัตตาจริงๆ สติ ปัญญา ทุกๆ อย่างเป็นอนัตตาทั้งหมด ที่ได้สะสมอวิชชามา จึงหลงลืมสติแทบจะทั้งวัน น้อยมากๆ ที่มีเหตุปัจจัยพร้อมได้ระลึกบ้างครั้งคราวค่ะ อนุโมทนานะคะ ตั้งใจฟังธรรมะต่อไป ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้นทีละนิดละหน่อย ละความไม่รู้ที่มากมายค่ะ

ปล. เข้ามาเว็บบ้านธัมมะ ก็อุ่นใจทุกครั้ง ที่เห็นสหายธรรมะที่มีความมั่นคงในการศึกษาธรรมจริงๆ อนุโมทนาอีกครั้งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Sam
วันที่ 5 ส.ค. 2551

ที่บอกว่าไม่มีเราน่ะ สหายธรรมว่าไม่มีอย่างไร?

"เรา" มีเมื่อคิด... ก่อนศึกษาพระธรรมเวลาคิดเรื่องอื่นก็ลืมความเป็น "เรา" เมื่อได้ศึกษาแล้วได้รู้ขั้นการฟังว่าไม่มี "เรา" จริงๆ และเมื่อได้พิจารณาโลกทางทวารทั้งหกตามความเป็นจริง แยกทีละทาง ทำให้ไม่มีที่ว่างตรงไหนที่จะใส่ความเป็น "เรา" ได้เลย

ไม่มีตัวตนที่จะไปทำ แล้วอะไรทำ?

เมื่อก่อนคิดถึงการ "ทำ" เป็นกิริยาอาการ เป็นเรื่องเป็นราว แต่เมื่อพิจารณาความจริงย่อยให้เล็กที่สุดแล้ว กิริยาอาการหรือเรื่องราวทั้งหลาย เป็นการทำกิจของธัมมะแต่ละอย่างซึ่งเกิดขึ้นทำกิจเมื่อปัจจัยทั้งหลายถึงพร้อม ห้ามก็ไม่ได้ บังคับก็ไม่ได้ แล้วก็ดับไปหมดไป ไม่กลับมาอีกเลย ต่อจากนั้นสิ่งใหม่ก็ทำกิจในกระบวนการที่คล้ายกันต่อไปอย่างต่อเนื่อง

ระหว่างหลงลืมสติ กับ มีสติ แตกต่างกันอย่างไร?

เมื่อหลงลืมสติ เห็นแล้วก็ติดข้องบ้าง โกรธ/กลัวบ้าง หลงลืม/ไม่รู้บ้าง และเมื่อได้ยินแล้ว...ได้กลิ่นแล้ว...ลิ้มรสแล้ว...กระทบสัมผัสแล้วก็ติดข้องบ้าง โกรธ/กลัวบ้างหลงลืม/ไม่รู้บ้าง แต่ในขณะที่สติเกิด เห็น..ได้ยิน..ได้กลิ่น..ลิ้มรส..กระทบสัมผัสแล้วจิตเป็นไปในกุศลขั้นทานบ้าง ขั้นงดเว้นทุจริตกรรมบ้าง ขั้นความสงบจากอกุศลบ้างและขั้นศึกษาลักษณะของสิ่งที่มีจริงบ้าง

ขออนุโมทนาผู้ตั้งประเด็นและผู้ร่วมสนทนาทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 5 ส.ค. 2551

ก่อนศึกษาพระธรรมมีเราตลอดแต่ไม่รู้ หลังศึกษาพระธรรมรู้ว่า เป็นเราทั้งที่ความจริงไม่มีเราคำว่าเป็นเราหมายถึง ความยึดมั่น (ทิฏฐิเจตสิก) ว่า ขันธ์ 5 เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ฯลฯ

ถ้าพิจารณาเป็นจิตแต่ละขณะเป็นเราและไม่เป็นเรา..ขณะไหนบ้าง
จากความคิดเห็นที่ 6 หมายความว่า ไม่เป็นเราในขณะที่ สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมว่าเป็นธรรมะไม่ใช่เรา ก็ต้องเป็นเป็นระดับสติปัฏฐานเป็นเราหรือไม่เป็นเราเกิดเฉพาะชวนะวิถีทั้งทางมโนทวารและปัญจทวาร ความไม่เป็นเรามี 2อย่างชั่วคราวคือระดับสติปัฏฐานและเถาวรคือระดับพระอริยบุคคล (โสดาบัน)

ทั้งหมดเป็นความเห็นผิดถูกอย่างไร รบกวนช่วยบอกด้วยนะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ajarnkruo
วันที่ 5 ส.ค. 2551

ไม่มีเรา มีแต่ความจริงที่แม้ไม่ต้องใช้ชื่ออะไรเรียก สิ่งนั้นก็มีจริง และเป็นความจริงไม่มีตัวตนที่จะไปทำ มีแต่ความเห็นผิดว่าเป็นตัวตนที่ทำได้ จึงจะไปทำหลงลืมสติ เพราะเป็นไปกับอกุศลจิต มีสติ เพราะเป็นไปกับโสภณจิต

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
เมตตา
วันที่ 5 ส.ค. 2551

ปรมัตถธรรมที่เกิดขึ้นเป็นเพียง จิต เจตสิก รูป แต่ละลักษณะ แต่ละอาการเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ไม่ใช่ เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลเลย ขณะใดที่ไม่รู้ลักษณะของจิต เจตสิก รูป ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เกิดขึ้นและดับไปสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว ขณะนั้นเป็นการรู้บัญญัติเป็น เรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล สภาพธรรมตามความเป็นจริงซึ่งมีเพียง จิต เจตสิก รูป ไม่มีเรา แต่ด้วยอวิชชาซึ่งก็คือความไม่รู้ที่สะสมมาเนิ่นนาน ไม่รู้ตามความเป็นจริง จึงยึดถือในสมมติสัจจะว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ ขณะที่เป็นไปในทาน ศีล ภาวนา ขณะนั้นเป็นผู้มีสติ และขณะที่ไม่เป็นไปในการให้ทาน ศีล ภาวนา ขณะนั้นเป็นผู้หลงลืมสติค่ะ

...ขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 5 ส.ค. 2551
แต่ละกระทู้ ก็จะมีผู้มาสนทนาในทัศนะต่างๆ ขณะนี้หลายท่านได้มาแล้วแต่คุณแล้วเจอกันยังไม่มา อ้อคุณ Study ไปไหน คราวนี้มาช้า นะครับขอสนทนาครับ "ไม่มีเราแล้วมีอะไร" ก็มีเราอยู่นี้ไง จะไปนิยามใหม่ไม่ได้ ไม่ตรงสภาพธรรม ทั้ง รูป-นาม ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ในมุมมองของผม คือ ไม่มีเรา
 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
prakaimuk.k
วันที่ 5 ส.ค. 2551
ขออนุโมทนาทุกๆ ความเห็นค่ะ มีประโยชน์มากๆ ....
 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
คุณ
วันที่ 5 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
คุณ
วันที่ 5 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
พุทธรักษา
วันที่ 5 ส.ค. 2551

ไม่มีเรา มีแต่ธาตุ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
khampan.a
วันที่ 5 ส.ค. 2551

ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ชีวิตที่ดำเนินไปในแต่ละวัน (ในแต่ละภพในแต่ละชาติ) ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไป ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงขณะที่จุติเกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ นั้น ไม่มีอะไรเลยนอกจากนามธรรมกับรูปธรรม เท่านั้น ถ้ายังไม่ได้ศึกษาก็ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ แต่เมื่อได้ศึกษาแล้ว ก็จะมีความเข้าใจว่า มีธรรมอยู่ตลอดเวลา ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่พ้นหกทางนี้เลย จึงต้องอดทนที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมต่อไปอย่างไม่ท้อถอย เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง ว่า เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่มีจริงและกำลังปรากฏ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ... ..

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
paderm
วันที่ 5 ส.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ถามเพิ่มเพื่อให้สหายธรรมคิดต่อ และเข้าใจมากขึ้นนะครับ

มีเราเมื่อไหร่?

เมื่อไหร่ไม่มีเรา?

ขณะไหนมีเรา ขณะไหนไม่มีเรา?

เมื่อคิดพิจารณาจากคำถามที่กล่าวมา เมื่อเข้าใจถูกย่อมเกื้อกูลต่อการปฏิบัติที่ถูกต้องลองคิดดูนะครับ กับคำถามที่ถามเพิ่มซึ่งเกี่ยวข้องกับกระทู้นี้ เพื่อเกื้อกูลกับทั้งผู้ที่เพิ่งเริ่มฟัง และผู้ที่ฟังนานแล้ว ก็เข้าใจมากขึ้น

อนุโมทนาครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
pornpaon
วันที่ 6 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนา น้องพาราระวี และทุกท่านค่ะ

เป็นกระทู้ที่ได้รับประโยชน์ ทำให้ได้ทบทวนความเข้าใจในธรรมจริงๆ เพราะแม้ขณะนี้ ภรภาอร ก็ยังมีแต่ เรา ที่คิด (เอาเอง) ว่าเข้าใจในเรื่องราวต่างๆ แม้คำว่า ไม่มีตัวตน ก็ยังเข้าใจเพียงในขั้นการฟัง ขั้นเข้าใจเรื่องราวเท่านั้น สภาพที่ ไม่มีเรา จึงยังไม่มีในขณะนี้ เพราะว่าขณะนี้ ยังหลงลืมสติเป็นส่วนใหญ่ จึงยังมี เรา ตัวตน สัตว์ บุคคล

ขออนุโมทนาทุกท่านอีกครั้งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
พุทธรักษา
วันที่ 6 ส.ค. 2551

หลงลืมสติ ก็มีเรา สติเกิด ก็ไม่มีเรา เมื่อบรรลุพระโสดาบัน ก็ไม่มีเราเป็นสมุทเฉท

ปล. ชาตินี้ "ภรภาอร" ยังมีเราชาติหน้า ไม่มี "ภรภาอร" มีอะไรก็ไม่ทราบ ที่ยัง มีเรา แต่หาก "ภรภาอร" ยังมั่นคงในหนทางนี้ (ไม่พัก ไม่เพียร)

"เรา" ก็เดินไปสู่ ความ "ไม่มีเรา" ด้วยกัน นะจ้ะ!

ขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ

"แต่การพบกันในชาติที่ได้เกื้อกูลกัน เป็นมิตรกันในพระธรรม หรือ มีส่วนร่วมกัน เผยแพร่พระธรรม ชาตินั้นก็ต้องเป็นชาติที่ประเสริฐสุดในสังสารวัฏฏ์ ยิ่งกว่าชาติอื่นๆ ที่เกิดมาโดยสถานอื่น" (ข้อความบางตอน จาก หนังสือ บารมีในชีวิตประจำวัน.)

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
choonj
วันที่ 6 ส.ค. 2551

ผู้ที่ศึกษาธรรมะและต้องการออกจากสังสารวัฎจนเป็นพระอริยบุคลเป็นพระอรหันต์ตัดกิเลสโดยสิ้นเชิง ก็จะรู้ว่า ความจริงในโลกนี้มีแต่ รูป จิต เจตสิก และนิพพาน ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา มีแต่ธรรมะทำหน้าที่ตามเหตุปัจจัย ชรา มรณะ โศก ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส ไม่สามารถทำให้เดือดร้อนได้ ผู้ที่ยังยินดีในสังสารวัฏ ยังยินดีในแสง สี เสียง ก็จะสำคัญว่าที่ประชุมกันอยู่นี่คือเรา เป็นของเรา เราทำ เราได้ เราเจ็บ เราปวด เราดีใจ เราสุข ชรา มรณะ โศก ปริเทวะทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ก็มีพร้อม ก็ยังทำให้เดือดร้อนอยู่ได้ นี่และที่ทำอยู่วันๆ เป็นคำตอบว่าอะไรทำ ส่วนพวกเราที่กำลังศึกษาอยู่ ถึงแม้นว่ายังตัดกิเลสไม่ได้ ชรา มรณะ โศก ปริเทวะทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ก็เบาบาง มีเราบ้างไม่มีเราบ้างจนกว่าจะถึงจุดหมาย ชีวิตก็ไม่เดือดร้อนเป็นผลของการศึกษา แล้วท่านว่าจะได้อานิสงค์คือได้เป็นอริยเจ้าจนเป็นพระอรหันต์

 
  ความคิดเห็นที่ 24  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 6 ส.ค. 2551

ขอตั้งคำถามเพิ่ม ขณะจิตชาติวิบากกับกิริยาเกิด มีความเป็นเราไหม

 
  ความคิดเห็นที่ 25  
 
paderm
วันที่ 6 ส.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

มีเรา ด้วย ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ขณะที่จิตชาติวิบากเกิดขึ้นหรือกิริยาจิตที่ไม่ใช่ของพระอรหันต์เกิดขึ้นซึ่งขณะนั้นไม่ใช่อกุศล ไม่มีเราขณะนั้น โดยนัยที่เป็นกิเลสที่เกิดขึ้นด้วยตัณหา มานะ ทิฏฐิ แต่แม้ไม่เป็นอกุศล แต่ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระโสดาบัน ก็ยังมีเราโดยนัยที่เป็นอนุสัยกิเลสที่ยังไม่ได้ดับความเห็นผิดว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน (สักกายทิฏฐิ) แม้จิตชาติวิบากหรือกิริยาจิตของปุถุชนที่เกิดขึ้น ก็ยังมีเราโดยนัยอนุสัยกิเลส ที่ยังมีกิเลสที่นอนเนื่อง เห็นผิดว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล แต่สำหรับพระโสดาบันแล้ว ไม่มีเราโดยทิฏฐิยึดถือว่ามีสัตว์ บุคคลตัวตน แต่ยังมีเรา โดยตัณหาและมานะได้ ส่วนพระอรหันต์ไม่มีเรา โดยกิเลสประเภทไหนและอนุสัยประเภทใดๆ ครับ

ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 26  
 
suwit02
วันที่ 7 ส.ค. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 27  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 7 ส.ค. 2551

อ่านความคิดเห็นที่ 25

ก็สงสัยเป็นเราด้วย ตัณหา มานะ ทิฏฐิ พระอนาคามี ยังมีมานะอยู่ทำไมไม่เป็นเรา แต่เมื่อไปอ่านใน web เรื่องมานะ พบว่า เป็นมานะที่ไม่เกิดร่วมกับความเห็นผิดที่เป็นตัวตนสัตว์บุคคล (เป็นเรา) ธรรมะเป็นเรื่องละเอียด หากไม่ละเอียดและความรู้ ความเข้าใจไม่มากพอ ก็จะเกิดคำถาม..แบบน่าถาม (..) และไม่น่าจะถาม แต่ เนื่องจากธรรมะ..น่าสนใจ และน่าศึกษาจริงๆ คงต้องมีคำถามอีก หวังว่าผู้ตอบที่ใจดี มีวิริยะในการตอบ คงไม่ท้อถอย

ขอขอบคุณและอนุโมทนาคะ

เชิญคลิกอ่าน..

สักกายทิฏฐิกับมานะ

สักกายทิฏฐิ 20 คืออะไร

 
  ความคิดเห็นที่ 28  
 
chatchai.k
วันที่ 19 มี.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 29  
 
Wiyada
วันที่ 15 พ.ค. 2566

ไม่มีสิ่งใดๆ เกิดอยู่ก่อนในโลกนี้เหมือนที่เราเคยคิด แต่ที่ทุกอย่างปรากฏเพราะมีการเกิดของนามธาตุ และ รูปธาตุ เมื่อเกิดแล้วดับไปแต่เกิดอีกดับอีกตามความเป็นไปของธรรมะ ที่บังคับบัญชาไม่ได้

ขอนอบน้อมบูชาคุณพระรัตนตรัย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ