...ต้องแยกให้ออก !

 
พุทธรักษา
วันที่  3 ส.ค. 2551
หมายเลข  9454
อ่าน  1,520

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความบางตอนจากการถอดเทปวิทยุโดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล

ท่านอาจารสุจินต์อธิบายเรื่อง "การอบรมเจริญปัญญา"

เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้นะคะว่าถ้ายังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง ก็ไม่สามารถแยกโลกของสมมติบัญญัติ ออกจากโลกของปรมัตถธรรมได้และยังไม่เข้าใจว่าปรมัตถธรรม (จิต เจตสิก รูป นิพพาน) ว่า เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ซึ่งไม่ต้องใช้ชื่ออะไรเลยแต่เวลาที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพปรมัตถธรรม ตามความเป็นจริงก็มีชื่อติดอยู่ที่สภาพปรมัตถธรรมทุกอัน เช่น พอเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งเป็นปรมัตถธรรมแท้ๆ ท่านก็มีชื่อเข้าไปติดกับสภาพปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏโดยนึกถึงเรื่อง รูปร่าง สัณฐาน ไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วในขณะนั้น ถ้าจิตไม่คิดเรื่องทั้งหลาย ชื่อทั้งหลาย จะไม่ปรากฏเลย ไม่คิดเลย จะไม่มีโลกไม่มีสมมติบัญญัติ ไม่มีเรื่องราว

ซึ่งท่านเข้าใจว่าจริง แต่แท้ที่จริงแล้วบัญญัติธรรมที่สมมติเป็นการนึกถึงปรมัตถธรรม (คือสิ่งที่มีจริงๆ) แต่เพราะไม่เข้าใจชื่อ จึงปิดบังและครอบงำปรมัตถธรรมไม่สามารถที่จะเห็นความจริงว่า แท้จริงแล้วสัตว์ บุคคล ตัวตน วัตถุสิ่งต่างๆ นั้นไม่มีเลยมีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้น ปรากฏ แล้วก็หมดไป เท่านั้นเองเพราะฉะนั้นจึงต้องเข้าใจความคิดนะคะ ว่า ขณะใดที่มีความคิดเกิดขึ้นขณะนั้นเป็นโลกของบัญญัติ สมมติถึงสภาพปรมัตถธรรม ซึ่งปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

การอบรมเจริญปัญญา จึงต้องรู้ตามความเป็นจริงว่าขณะที่เห็นว่าเป็นคนขณะนั้นคือ การคิดถึง รูปร่างสัณฐานของสิ่งทีปรากฏ เพราะฉะนั้นต้องแยกให้ออกให้รู้ตามความเป็นจริงว่า ถ้าขณะใด ที่มีความคิดเกิดขึ้น ขณะนั้น เป็นการคิดถึงเรื่องราว ไม่ใช่การรู้ลักษณะของปรมัตถธรรม ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย (ไม่รวมทางใจ)

ท่านอาจารย์สุจินต์ย้ำเสมอว่า "สิ่งที่ต้องละก่อน คือ ความเห็นผิด"


ขออนุโมทนา

ขออุทิศกุศลแด่ คุณพ่อ คุณแม่และสรรพสัตว์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
suwit02
วันที่ 4 ส.ค. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
pornpaon
วันที่ 4 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Sam
วันที่ 4 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prakaimuk.k
วันที่ 4 ส.ค. 2551

จากแผ่นธรรมะ โสภณธรรม

กิจที่ทำให้เห็นผิดเป็นหน้าที่ของ ทิฏฐิเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดหลังจากที่มีการใส่ใจในรูปร่างของของสิ่งที่ปรากฏ ก็จะแยกทางตากับทางใจออกได้ โดยการรู้ว่า เฉพาะทางตา เพียงเห็น และในเวลาที่กำลังจำหรือกำลังรู้ ว่าเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ขณะนั้น เป็นทางใจเสียแล้ว ค่อยๆ แยกทางตากับทางใจออก แยกทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย กับทางใจออก แล้วถึงจะรู้ว่าปรมัตถธรรมแท้ๆ ไม่ใช่ขณะที่กำลังคิดเรื่องรูปร่างหรือเรื่องต่างๆ นี่ก็จะต้องเป็นเพราะสติปัฏฐาน และเมื่อเข้าใจแล้วก็ต้องปฏิบัติตามที่เข้าใจจนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้น

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
พุทธรักษา
วันที่ 4 ส.ค. 2551

พระธรรม ไม่แปรผัน

ไม่ว่าจะแสดงไว้อย่างไร ที่ไหน กับใคร

ก็รวมลงที่ความเห็นถูก

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ไม่มีเรา
วันที่ 4 ส.ค. 2551

โมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Pararawee
วันที่ 4 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Noparat
วันที่ 4 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เมตตา
วันที่ 4 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาคุณพุทธรักษาที่นำบทความที่มีประโยชน์ให้มาได้อ่านกันค่ะ

"สิ่งที่ต้องละก่อน คือ ความเห็นผิด" จึงควรฟังพระธรรมให้เกิดความเห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า ขณะใดที่มีความคิดเกิดขึ้น ขณะนั้นเป็นการคิดถึง เรื่องราว บัญญัติต่างๆ ขณะใดที่เห็นเกิดขึ้น ขณะนั้นสิ่งที่ถูกเห็นเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฎทางตาเท่านั้นซึ่งเป็นสภาพปรมัตถธรรม ไม่มีเรื่องราว บัญญัติ สัตว์ บุคคลใดๆ เช่นเดียวกันกับสิ่งที่ปรากฎทางหู ทางจมูก ทางลิ้น และทางกาย สิ่งที่ปรากฎเป็นเพียงสภาพปรมัตถธรรมแต่ละอย่างที่ปรากฎแต่ละทางเท่านั้น

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
orawan.c
วันที่ 4 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
เซจาน้อย
วันที่ 4 ส.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
paderm
วันที่ 4 ส.ค. 2551
ขออนุโมทนาเช่นกันครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
opanayigo
วันที่ 5 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
Komsan
วันที่ 5 ส.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ