เรื่องกรรมและการให้ผลของกรรม

 
Pararawee
วันที่  4 ส.ค. 2551
หมายเลข  9459
อ่าน  1,499

คืออยากถามว่า ไม่ทราบว่าเข้าใจอย่างนี้ถูกหรือเปล่า

ขณะที่ ที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส เป็นผลของกรรมที่ทำแล้วในอดีต

แต่ว่าไม่เข้าใจว่ ากรรมก็คือเจตนา ใช่ไหมคะ แล้วทีนี้ การเป็นเจตนา เป็นเจตนายังไงให้มีวิบากเกิดขึ้น หมายความว่า เจตนาเจตสิกเกิดขี้นแล้วก็สะสมไปเรื่อยๆ หรือเปล่า และถ้าเป็นกรรมบทก็ให้ผลเป็นวิบากหรือเปล่าคะ?

แล้วขณะที่เห็นได้ยินได้กลิ่นลิ้มรสกระทบสัมผัส ทุกขณะๆ นี้เนี่ย กรรมให้ผลทีละหนึ่งหรือเปล่าคือ เห็นสิ่งที่ดีก็เป็นกุศลวิบากที่เคยทำกุศลกรรมไว้แต่ก่อน คือหนึ่งขณะสั้นมากแต่ว่า เราไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยว่าวิบากไหนเป็นผลของกรรมอะไร แต่แล้วถ้าอย่างนั้นการเชื่อในกรรมและผลของกรรมจะเชื่ออะไรคะ? (คือเชื่ออยู่แล้วค่ะ แต่ขอความเห็น)

คือถ้าเป็นเรื่องยาวก็คือตอนนั้นเราก็คิดไปเองเป็นเรื่องแล้วใช่ไหมคะ แต่หน้าที่ของกรรมกับวิบาก ก็ทำหน้าทีอยู่ตลอดแต่เราไม่สามารถจะรู้ได้?

คือปัญญายังน้อยอยากให้ช่วยอธิบายหน่อยค่ะ

ขอบพระคุณล่วงหน้าด้วย อนุโมทนา.....


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 5 ส.ค. 2551
เจตนาเป็นกรรม ในอกุศลกรรมบถก็เจตนานั่นเองเป็นกรรม เพราะมีกรรมเป็นปัจจัยจึงมีวิบากเกิดขึ้น ถ้าเป็นอกุศลกรรมบถย่อมนำเกิดในทุคติภูมิ แต่ไม่ใช่เพียงนำเกิดเพียงอย่างเดียว ในปวัติกาลกรรมย่อมเป็นปัจจัยให้วิบากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เกิดขึ้นรู้สิ่งที่ไม่ดี กุศลกรรมเป็นปัจจัยให้วิบากที่ดีเกิดขึ้นทางตา เป็นต้น กรรมหนึ่งให้วิบากเป็นจำนวนมาก แต่กรรมที่ให้วิบากทางตา อาจเป็นกรรมที่ต่างกันที่ให้วิบากทางหู จมูก เป็นต้น ที่ว่าเชื่อกรรมและวิบากหมายถึงเชื่อในการกระทำดีทำชั่วว่ามีผลจริงไม่ไร้ผลหรือไม่สูญเปล่า หรือรู้วิบากจิตว่าเป็นผลของกรรมใดเป็นต้น
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Anutta
วันที่ 5 ส.ค. 2551

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Pararawee
วันที่ 5 ส.ค. 2551

ขอบพระคุณมากค่ะ อนุโมทนาด้วยนะคะ คำตอบมีประโยชน์มากๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
choonj
วันที่ 5 ส.ค. 2551

อ่านคำอธิบายหัวข้อแล้ว ก็เห็นด้วยที่กล่าวว่าคิดไปเองเป็นเรืองราวมากมายถ้าเข้าใจเพียงว่า กิเลสกรรม สังสมวิบาก และผลของกรรมก็คือวิบาก ก็ไม่ต้องไปคิดให้มากมายว่าวิบากนี้จากกรรมอะไร เพราะทุกๆ วินาทีกำลังสังสมกรรม ซึ่งจะให้วิบากมากมายจนไม่รู้ว่าวิบากนี้จากกรรมอะไร
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เซจาน้อย
วันที่ 5 ส.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
paderm
วันที่ 5 ส.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เจตนาเป็นกรรม แต่เจตนามี 2 อย่างคือ

สหชาตกรรมปัจจัยคือเกิดพร้อมกับจิต เช่น เจตนาที่เกิดกับจิตเห็น เจตนานี้ไม่ให้เกิดวิบากครับ

นานักขณิกกัมมปัจจัย เป็นเจตนาที่เกิดกับจิตที่เป็นกุศลหรืออกุศล ซึ่งเมื่อครบกรรมบถ ก็สามารถให้ผลในขณะต่อไปได้ แล้วแต่ว่าจะเป็นชาติไหนก็ตามเหตุปัจจัย

ส่วนการเชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรม ซึ่งเป็นปัญญาก็มีหลายระดับตามระดับของ

ปัญญา เช่นเชื่อโดยขั้นเรื่องราวว่า กรรมมีผลของกรรมก็ย่อมมี ส่วนถ้าเป็นปัญญาที่เข้า

ใจกรรมและผลของกรรมจริงๆ ก็คือขณะที่กรรมเกิด หรือ ขณะที่ผลของกรรมเกิด ขณะนี้

เองครับ ขณะที่เห็น ขณะนี้เป็นผลของกรรม ขณะที่เป็นกุศลกรรม เป็นกรรมเพราะมี

เจตนาเกิดร่วมด้วย ดังนั้นการู้ลักษณะของการเห็น การได้ยินซึ่งเป็นผลของกรรมก็ด้วย

ปัญญาที่รู้ตรงลักษณะนั้นก็รู้ตัวจริงของผลของกรรม ย่อมมั่นคงและทำให้เชื่อเรื่องกรรม

และผลของกรรม เพระไม่ใช่การรู้เรื่องราวของกรรมและผลของกรรม แต่เป็นการรู้ตรง

ลักษณะของกรรมและผลของกรรมขณะนี้เองครับ ขออนุโมทนาครับ อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เมตตา
วันที่ 6 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pornpaon
วันที่ 6 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาทั้งท่านเจ้าของกระทู้และผู้ให้คำตอบทุกท่านค่ะ

พลอยได้อ่านได้เพิ่มเติมความเข้าใจไปด้วยอีกคน

ขออนุโมทนาทุกท่านอีกครั้งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เจริญในธรรม
วันที่ 6 ส.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wannee.s
วันที่ 6 ส.ค. 2551

การเชื่อกรรมและผลของกรรมว่ามีจริงเป็นปัญญาระดับหนึ่ง ขณะที่สติปัฏฐานเกิด

ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เห็น ขณะนั้นปัญญาก็รู้ว่า เป็นผลของกรรมค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
pornchai.s
วันที่ 6 ส.ค. 2551
อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 5 โดย ajarnkruo

คลิกฟังคำตอบที่นี่ครับ --> นานักขณิกกัมมปัจจัย

วิบากที่จะให้ผลต้องอาศัยกรรมเป็นกัมมปัจจัย


ฟังแล้วได้ประโยชน์ และค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้น ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
prakaimuk.k
วันที่ 6 ส.ค. 2551
ได้ประโยชน์มากจากทุกๆ ความเห็น ขออนุโมทนาค่ะ.....
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ