ชีวิตเป็นอยู่ก็เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น..... ประทับใจมากๆ ๆ

 
prapan
วันที่  14 มี.ค. 2551
หมายเลข  7886
อ่าน  1,627

ชีวิตเป็นอยู่ก็เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น.....

ได้ฟังท่านอาจารย์สุจินต์ พูดในซีดีครับ รบกวนทุกท่านช่วยกันอภิปรายเพื่อความแตกฉานในธรรมกันด้วยครับ ผมอยากทราบการขยายความครับ

ขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 14 มี.ค. 2551

ขอเชิญอ่านคำขยายจากมหานิทเทสและอรรถกถาครับ

[เล่มที่ 65] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ ๖๐๑

[๑๘๒] คำว่า ชีวิตนี้น้อยหนอ มีความว่า คำว่า ชีวิต ได้แก่อายุ ความตั้งอยู่ ความดำเนินไป ความให้อัตภาพดำเนินไป ความเป็นไป ความหมุนไป ความเลี้ยง ความเป็นอยู่ ชีวิตินทรีย์. อนึ่ง ชีวิตน้อย คือชีวิตนิดเดียว โดยเหตุ ๒ ประการ คือชีวิตน้อยเพราะตั้งอยู่น้อย ๑ ชีวิตน้อยเพราะมีกิจน้อย ๑.

ชีวิตน้อยเพราะตั้งอยู่น้อยอย่างไร? ชีวิตเป็นอยู่แล้วในขณะจิต เป็นอดีตย่อมไม่เป็นอยู่ จักไม่เป็นอยู่. ชีวิตจักเป็นอยู่ในขณะจิต เป็นอนาคตย่อมไม่เป็นอยู่ ไม่เป็นอยู่แล้ว. ชีวิตย่อมเป็นอยู่ในขณะจิตเป็นปัจจุบันไม่เป็นอยู่แล้ว จักไม่เป็นอยู่. สมจริงดังพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :- ชีวิต อัตภาพ สุขและทุกข์ทั้งมวล เป็นธรรม ประกอบกันเสมอด้วยจิตดวงเดียว.

ชีวิตน้อยเพราะมีกิจน้อยอย่างไร? ชีวิตเนื่องด้วยลมหายใจเข้าเนื่องด้วยลมหายใจออก เนื่องด้วยลมหายใจเข้าและลมหายใจออก เนื่องด้วยมหาภูตรูป เนื่องด้วยไออุ่น เนื่องด้วยกวฬิงการาหาร เนื่องด้วยวิญญาณ. กรัชกายอันเป็นที่ตั้งแห่งลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเหล่านั้นก็ดี อวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน และภพอันเป็นเหตุเดิมแห่งลมหายใจเข้าและลมหายใจออกก็ดี ปัจจัยทั้งหลายก็ดี ตัณหาอันเป็นแดนเกิดก่อนก็ดี รูปธรรมและอรูปธรรมที่เกิดร่วมกันก็ดี อรูปธรรมที่ประกอบกันก็ดี ขันธ์ที่เกิดร่วมกันแห่งลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเหล่านี้ก็ดี ตัณหาอันประกอบกันก็ดี ก็มีกำลังทราม. ธรรมเหล่านั้นมีกำลังทรามเป็นนิตย์ต่อกันและกัน มิได้ตั้งมั่นต่อกันและกัน ย่อมยังกันและกันให้ตกไปเพราะความต้านทานมิได้มีแก่กันและกัน ธรรมเหล่านี้จึงไม่ดำรงกันและกันไว้ได้ ธรรมใดให้ธรรมเหล่านี้เกิดแล้ว ธรรมนั้นมิได้มี. ก็แต่ธรรมอย่างหนึ่งมิได้เสื่อมไปเพราะธรรมอย่างหนึ่ง. ก็ขันธ์เหล่านี้แตกไปเสื่อมไปโดยอาการทั้งปวง ขันธ์เหล่านี้อันเหตุปัจจัยมีในก่อนให้เกิดแล้ว. แม้เหตุปัจจัยอันเกิดก่อนเหล่าใด แม้เหตุปัจจัยเหล่านั้นก็ดับแล้วในก่อน. ขันธ์ที่เกิดก่อนก็ดี ขันธ์ที่เกิดภายหลังก็ดี มิได้เห็นกันและกันในกาลไหนๆ . ฉะนั้นชีวิตจึงชื่อว่า เป็นของน้อยเพราะมีกิจน้อย อย่างนี้ อายุของพวกมนุษย์น้อย บุรุษผู้ใคร่ความดีพึงดูหมิ่น อายุที่น้อยนี้ พึงรีบประพฤติให้เหมือนคนถูกไฟไหม้ศีรษะ ฉะนั้น. เพราะความตายจะไม่มาถึงมิได้มี วันคืนย่อมล่วง เลยไป ชีวิตก็กระชั้นเข้าไปสู่ความตาย อายุของสัตว์ทั้งหลายย่อมสิ้นไป เหมือนน้ำในแม่น้ำน้อย น้อยสิ้นไปฉะนั้น.เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ชีวิตนี้น้อยหนอ.

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 14 มี.ค. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 14 มี.ค. 2551

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ภิกษุไม่ประมาท ให้พิจารณาธรรมทุกลมหายใจเข้าออก ชีวิตนี้สั้นนัก ถ้าหายใจเข้า แล้วไม่หายใจออกก็ตายค่ะ เพราะฉะนั้นอย่าหายใจทิ้งไปเปล่าๆ ให้เจริญกุศลทุกอย่างค่ะ ไม่ประมาทว่าเรายังมีชีวิตอยู่อีกนาน

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 14 มี.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Komsan
วันที่ 14 มี.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ประสาน
วันที่ 15 มี.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
dron
วันที่ 15 มี.ค. 2551

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
orawan.c
วันที่ 15 มี.ค. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ajarnkruo
วันที่ 15 มี.ค. 2551

ชีวิต คือจิต เจตสิก รูป แต่ละขณะอันแสนสั้นที่เกิด ดับตามเหตุปัจจัย ไม่ยั่งยืนดับแล้ว หมดไป ไม่กลับมาเกิดอีก แต่เป็นปัจจัยให้จิตขณะใหม่เกิดต่อ ต่อ ต่อ..อีกเพียงเสี้ยววินาทีข้างหน้า ก็อาจจะเป็นขณะจิตสุดท้ายของชาตินี้ ชีวิตจึงเป็นอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้นจริงๆ ฉะนี้แล......อนุโมทนาครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
อิสระ
วันที่ 15 มี.ค. 2551

ชีวิตนี้น้อยนักจริงๆ / ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
prapan
วันที่ 3 เม.ย. 2551
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ทศพล.com
วันที่ 5 เม.ย. 2551

จิตดวงหนึ่งๆ มีอายุสั้นมากเหลือเกิน คือเพียงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป จิตทุกดวงจึงมีอนุขณะ ๓ ขณะ คือ

อุปาทขณะ เป็นขณะที่เกิด ไม่ใช่ขณะที่ตั้งอยู่ ไม่ใช่ขณะที่ดับ

ฐีติขณะ เป็นขณะที่ตั้งอยู่ ไม่ใช่ขณะที่เกิด ไม่ใช่ขณะที่ดับ

ภังคขณะ เป็นขณะที่ดับ ไม่ใช่ขณะที่เกิด ไม่ใช่ขณะที่ตั้งอยู่

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
lichinda
วันที่ 18 เม.ย. 2551

ชีวิตไม่ได้เป็นอยู่ในขณะจิตอันน้อยนิด แม้ชีวิตนี้ก็น้อยนัก ลูกรัก หลานรักพากันไปลอยอังคาร คนหนึ่งถือเถ้า กระดูก ห่อด้วยผ้าขาว เป็นหลานรักคนโปรดที่เคยใกล้ชิดกว่าคนอื่น คนหนึ่งเป็นชายศรีษะโล้นเพราะบวชหน้าไฟให้ก็อุ้มหลานตามไป คนหนึ่งเป็นหญิงถือขันน้ำมนต์ อีกสองคนก็ตามไปอาลัย คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ญาติ เห็นก็ต่างมอง ต่างแลไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้ทำอะไร ต่างก็ดูเขาทำกิจสุดท้าย กิจอันน้อย กิจสุดท้ายของชีวิต วันนี้ค่ำนี้มืดแล้ว ที่ชายน้ำแห่งนี้ มีกิจสุดท้ายแห่งชีวิต ชีวิตก็น้อยนัก ชีวิตแม้เป็นอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว ก็ไม่ได้เป็นอยู่เลย ขอจงสู่สุคติเถิด ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ไรท์แจกแล้วไง
วันที่ 19 เม.ย. 2551
ประทับใจเช่นกัน และจะประทับใจมากขึ้นเมื่อประจักษ์ด้วยปัญญาผู้นั้นเอง
 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
pamali
วันที่ 2 มิ.ย. 2554
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
peem
วันที่ 7 ก.พ. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
ธุลีพุทธบาท
วันที่ 8 ก.พ. 2558

กราบขอบพระคุณและอนุโมทนา ครับ.

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
Jarunee.A
วันที่ 27 มี.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ