ขณะต่อไปจะเห็นอะไร ทราบมั้ยค่ะ?
แล้วบังคับไม่ให้เห็นได้มั้ยค่ะ?
จะบังคับให้เห็นแต่สิ่งดีๆ ได้มั้ยค่ะ?
ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยจริงๆ ค่ะ คือ วิบากอันเป็นทางที่จะให้เสวยผลของกรรม
ผมขอแสดงความเห็นในเรื่องนี้ หากขาดตกบกข้อพร่องอย่างไรท่านทั้งหลายได้โปรด แก้ไขเพิ่มเติมให้ด้วยครับ
การที่จะเข้าใจเรื่อง อนัตตา ให้ง่ายนั้น ต้องดูที่มาของคำนี้ครับคือ พระสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสถึง อนัตตา เพื่อปฏิเสธความสุดโต่งของ ของเจ้าลัทธิ 2 สำนักที่เป็นปฎิปักษ์ต่อกัน คือ ลัทธิ อัตตา กับ ลัทธิสุญญตา
ลัทธิ อัตตา (สัสสตทิฏฐิ) นั้น ถือว่า แม้ร่างกายจะแตกทำลายไปแล้ว ก็ยังมี อัตตา หรือ อาตมัน หรือที่ ไทยเรา เรียกว่า วิญญาณ(ไม่ใช่ในอภิธรรม) ซึ่งจะไม่แตกทำลายไปกับร่างกาย แต่อาตมันจะยืนยงอยู่เป็นนิรันดร และอาตมัน/วิญาณ นี้เอง ที่ไปอยู่กับพรหมบ้างขึ้นสวรรค์บ้าง ตกนรกบ้าง วนเวียนไปในภูมิต่างๆ ตามกรรม ไม่มีสิ้นสุด เรื่อง อาตมัน เป็นนิรันดรนี้ ศาสนาฮินดู กับ ศาสนาคริสต์เห็นตรงกัน ในหลักการ แต่รายละเอียดเรื่อง กรรม สวรรค์ นรก ต่างกัน อนึ่ง อาจารย์ของพระสิทธัตถะโพธิสัตว์ คือ ดาบสทั้งสอง ก็ร่วมอยู่ในลัทธิอาตมัน นี้ด้วย ลัทธิ สุญญตา (อุจเฉททิฎฐิ)นั้น ถือว่าเมื่อร่างกายแตกทำลายไปแล้ว ก็จบสิ้น ไม่มีอาตมัน หรืออะไรเหลืออยู่เลย ลัทธินี้ร้ายแรงน่ากลัวมาก เพราะปฏิเสธ กรรม นรก สวรรค์ หรือที่ไทยเราพูดว่า ทำดีได้ดี มีที่ไหน ทำชั่วได้ดี มีถมไป
พระสัมพุทธเจ้า ทรงปฎิเสธลัทธิสุดโต่งทั้งสองโดย ทรงปฏิเสธลัทธิอัตตา ว่า ถึงจะมีการเวียนว่ายตายเกิดจริง ดังที่ลัทธินี้อ้าง และถึงจะมีผู้ไปเสวยผลกรรมดีและชั่วตามที่ได้ทำไว้ จริง ก็ตาม (กรณีพระอรหันต์ ทรงแยกกล่าว) แต่การมีอยู่นั้น มีอยู่โดยอาศัยเหตุปัจจัยปรุงแต่ง เกิดขึ้น (สังขตธรรม) - ไม่ใช่ มีอยู่โดยไร้เหตุให้เกิด - ไม่ใช่ มีอยู่มาแล้วแต่อดีตอนันตกาล - ไม่ใช่ มีอยู่อย่างยืนยง และเมื่อเหตุปัจจัยดับไป สังขตธรรม นี้ ก็ไม่เที่ยงดับไปด้วย
ดังนั้นชาวพุทธเรา จึงมักกล่าวว่า ทุกอย่างเป็นอนันตา บังคับบัญ-ชาไม่ได้ เพราะสังขตธรรมเหล่านี้ - ไม่เป็นไปตามความปรารถนา ถ้ามีเหตุปัจจัยให้สังขตธรรม เกิด ถึงไม่ปรารถนาให้เกิด ก็ต้องเกิด ถ้าเหตุปัจจัยดับไป ถึงคร่ำครวญ ปรารถนาให้ดำรงอยู่ ก็ต้องดับไป - ถึงมีอยู่ ก็มีอยู่อย่างปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่อาจถือเป็นอัตตา/อาตมัน อันยืนยง โดยไร้เหตุ เป็นนิรันดร ได้
ด้วยเหตุนั้น พระศาสดาจึงตรัสว่า อนัตตา ไม่ใช่ อาตมัน ดังนี้และไม่ตรัสว่า สุญญตา เพราะทรงปฏิเสธความขาดสูญ ของสังขตธรรมทรงแสดงความสืบต่อของสังขตธรรมว่า หากยังมีเหตุคือตัณหาและอวิชชา แล้ว ภพย่อมมี ดังนี้
ส่วนทำอย่างไรจึง มีปัญญาแทงตลอดถึง ความเป็นสังขตธรรม ของสังขารทั้งหลาย ทำอย่างไรจึงจะแทงตลอดถึง ความสืบต่อ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของสังขารทั้งหลาย นั้น ท่านอาจารย์สุจินต์ ของเราทั้งหลาย ท่านพร่ำสอนไว้ดีแล้ว ขอเชิญศึกษา หนทางสายเอก เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์นั้นเถิดครับ
ขอพระสัทธรรม ทำให้ใจของคุณเบิกบาน
ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา อธิบายโดย 2 นัยดังนี้
ที่ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา หมายถึง ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน มีแต่สภาพธรรม จึงเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา ตัวตน เห็นเป็นสภาพธรรม ไม่ใช่เรา หรือตัวตนที่เห็น เป็นต้น
ที่ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา หมายถึง บังคับบัญชาไม่ได้ สภาพธรรมทั้หลายเกิดขึ้น
ไม่มีใครบังคับให้เกิดขึ้น ก็เกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีใครบังคับให้ไม่ดับไป
ได้ เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ครับ เห็นเป็นสภาพธรรมเกิดขึ้นจึงเห็น ถ้าไม่เกิดขึ้นก็เห็นไม่ได้ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว สภาพธรรมที่เห็นก็ดับไป บังคับไม่ได้ที่จะไม่ให้ดับเพราะเมื่อมีปัจจัยปรุงแต่ง(เกิดขึ้น)สิ่งนั้นก็ต้องดับไปด้วยครับ
ครับ คือ ผมใส่ใจ หัวข้อ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ที่ท่านผู้ถาม ตั้งเป็นหัวข้อกระทู้ไว้ ผมเลือกตอบแนวนั้น เพราะถ้ามีความเห็นร่วมกันในเรื่อง สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา หรือที่ผมพูด เป็นไทยว่า ชาวพุทธเรา จึงมักกล่าวว่า ทุกอย่างเป็นอนันตา แล้วจากตรงนี้ เราแจกแจงได้ว่า ขันธ์ ธาตุ อายตนะ (รวม ตา และการเห็นรูป)ล้วนเป็นอนัตตาทั้งสิ้น และหากต้องการละเอียดเราก็แจกแต่ละส่วนย่อย
ไปได้อีกว่า ขันธ์ นั้นๆ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เกิดดับ เป็นสันตติสืบต่อภพไปดังนี้ก็ได้ครับ การแจกแจงเช่นนี้ เป็นพุทธวิสัย ต้องหยั่งรู้อัธยาศัยผู้ฟังครับ ขอให้พระสัทธรรม ทำให้ใจของคุณเบิกบาน
เห็นมีจริงไหม ? ...มีจริง เห็นเมื่อไร ? ...เมื่อมีเห็น(จักขุวิญญาณ) , สิ่งที่เห็น(รูปารมณ์)และทางที่จะให้เห็น เกิด(จักขุปสาท) มาประชุมรวมกัน เห็นเมื่อไร ? ...ขณะนี้ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ เห็นเมื่อวานมีไหม ? ...เห็นเมื่อวานมี รู้ได้อย่างไรว่าเห็นเมื่อวานมี ? ...คิด ทำไมถึงคิดได้...ว่าเห็นเมื่อวานมี ? ...จำ เห็นเมื่อวานอยู่ที่ไหน ? ...ไม่มีแล้ว เห็นเมื่อวานเป็นของใครไหม ? ...หมดแล้ว ไม่เป็นของใคร เห็นตอนนี้ล่ะ เห็นเป็นเห็น เห็นเป็นเรา , เป็นเราเห็น ? ...ความจริง คือ เห็นเป็นเห็น เปลี่ยนเป็นสภาพได้ยิน ได้กลิ่น ...คิดนึกไม่ได้ แต่ยังมีการยึดถือไว้ว่า เห็นเป็น เรา , เป็นเราเห็น อะไรยึดไว้ ? ...สักกายทิฏฐิที่เกิดร่วมโลภมูลจิต อะไรที่เป็นเหตุให้ยังยึดไว้ ? ...อวิชชาเป็นเหตุให้ยังยึดไว้ แล้วเกี่ยวกับอนัตตาอย่างไร ? ...โปรดกลับไปอ่านความคิดเห็นที่ 1
-ขออนุโมทนากับความคิดเห็นอันเป็นกุศลจิตของทุกท่านครับ
ขอความมีปัญญาและ การขัดเกลากิเลส จงงอกงามในสาธุชนทุกท่านนะครับ
การเห็นก็เป็นอนัตตา มีแล้วไม่มี เห็นขณะนี้ดับไปแล้ว เห็นขณะใหม่เกิดขึ้น และการเห็น
ขณะก่อน ก็ไม่มีวันกลับมาให้เห็นอีก แต่เราไม่รู้สึก เพราะมีการเห็นใหม่เกิดดับสืบต่อทำให้
ไม่เห็นความเป็นอนัตตา อนัตตาจะรู้ได้ต่อเมื่อปัญญาเกิดจึงจะรู้ค่ะ
ผมคิดดูตามคำท้วงติงของคุณแล้วเห็นว่าที่ผมหวังให้ผู้ถามแจกแจง ประเด็นย่อยเองนั้นเป็นการผลักภาระกลับคืนแก่ผู้ถาม
ผมจึงตั้งกระทู้ใหม่ คือ 07902
ขอเชิญ คุณ และท่านผู้ถาม พิจารณากระทู้ใหม่นี้ด้วยครับ