คิดถึงสิ่งที่ปรากฏสืบต่อทันทีเร็วมาก
ไม่มีใครสามารถที่จะกล่าวความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า ขณะใดก็ตาม เสียงปรากฏเดี๋ยวนี้ ไม่มีเราเลย
ขาก็ไม่ได้ยินเสียง แขนก็ไม่ได้ยินเสียง แต่ขณะนั้นเสียงปรากฏเพราะมีธาตุที่กำลังได้ยินเสียง และต่อจากนั้นก็คือว่าคิดนึก ทุกครั้งที่มีอะไรปรากฏทางตา หู จมูกลิ้น กาย หรืออย่างไรก็ตามแต่ จะต้องมีคิดถึงสิ่งที่ปรากฏสืบต่อทันทีเร็วมาก เขาอาจจะคิดว่าเขาไม่คิดเหมือนกับเราขณะนี้ เราก็คิดว่าเราไม่ได้คิด แต่เห็นแล้วรู้ว่าเป็นอะไร นั่นคือคิด เพราะขณะที่เห็นจะไม่รู้เลย มีแต่สิ่งที่สามารถที่จะปรากฏให้เห็นได้ แต่ว่าหลังจากนั้นเร็วมาก เวลานี้ใครกำลังนั่งอยู่ที่นี่ นั่นคือคิดแล้ว แยกออกไหมเห็นอะไร กับเห็นเทียน เห็นดอกไม้ แยกไม่ออกเลยว่าเห็นเป็นเห็น แล้วก็คิดถึงรูปร่างสัณฐาน จึงสามารถที่จะจำได้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร เพราะว่าสภาพจำเกิดทุกขณะที่มีสภาพรู้ปรากฏ จะต้องมีการจำในสิ่งที่ปรากฏให้รู้ด้วยทุกครั้ง สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เพียงรู้ก็คือจิต แต่สภาพที่จำไม่ใช่จิต แต่เมื่อจิตรู้อะไร ก็จำสิ่งที่จิตรู้ เกิดพร้อมกันเลยไม่แยกกัน เพราะว่าสภาพธรรมที่เป็นจิต และเจตสิกปราศจากกันไม่ได้เลยต้องเกิดพร้อมกัน
เมื่อสิ่งที่ปรากฏดับ ไม่ว่าจะเป็นเสียงซึ่งเร็วมาก ประมาณไม่ได้เลยขณะนี้ เหมือนกับว่าเราได้ยินคำ ใช่ไหม แต่ความจริงมีเสียง และก็มีการคิด และจำคำนั้นว่าหมายความถึงเหมือน ไม่ได้หมายความถึงอย่างอื่น ทุกขณะเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
เสียงจะปรากฏโดยไม่มีได้ยิน เป็นไปไม่ได้เลยแน่นอน ถูกต้องไหม เพราะว่าธาตุรู้ต่างหากที่กำลังได้ยินเสียง ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น ในขณะที่คนไข้ได้ยินเสียง ขณะนั้นตามความเป็นจริงก็คือว่า ไม่มีใครเลยนอกจากได้ยิน ซึ่งกำลังได้ยินเสียง
ขณะที่ได้ยินต้องไม่เห็น แล้วก็ต้องไม่คิดนึกด้วย เพราะฉะนั้น ความจริงสั้นมากเพียง เกิดปรากฏแล้วดับไปเลย แต่ว่าไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ ไปรู้ตอนที่กำลังคิดซึ่งต่อจากได้ยิน หรือต่อจากเห็น เดี๋ยวนี้เห็นทันที รู้เลยว่าใคร ทั้งๆ ที่ก็มีตา หู จมูก ลิ้น กายเหมือนๆ กัน แต่ก็ยังสามารถที่จะเห็นความต่าง จนรู้ว่าขณะนี้กำลังเห็นคนนี้ ไม่ใช่เห็นคนนั้น แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้น ขณะนั้นต้องไม่มีอะไรนอกจากได้ยินกับเสียง จะบอกว่าไม่ได้ยินไม่ได้เพราะเสียงปรากฏ


