สนทนาเรื่องวิถีจิต

 
สารธรรม
วันที่  3 ธ.ค. 2568
หมายเลข  51581
อ่าน  149

ที่กล่าวมาแล้วมีกี่ขณะ ตั้งแต่รูปเกิด อตีตภวังค์ ๑ ภวังคจลนะ ๒ ภวังคุปัจเฉทะ ๓ จักขุทวาราวัชชนจิต ซึ่งเป็นกิริยา หรือปัญจทวาราวัชชนจิต ๔ ยังไม่ใช่จิตเห็น แต่เป็นจิตที่เกิดก่อนจิตเห็น ๔ ขณะแล้ว

ท่านอาจารย์ ปัญจทวาราวัชชนจิตนี้ดับไหม

ผู้ฟัง ดับ

ท่านอาจารย์ อาศัยทวารอะไร

ผู้ฟัง ตา

ท่านอาจารย์ จิตต่อไปต้องเป็นอะไร

ผู้ฟัง จักขุวิญญาณ

ท่านอาจารย์ จักขุวิญญาณ คือจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่กระทบโดยอาศัยจักขุปสาท ตรงตัวเลย จักขุวิญญาณอาศัยทวารตา ตาดับหรือยัง

ผู้ฟัง ตายังไม่ดับ

ท่านอาจารย์ รูปที่กระทบตาดับหรือยัง

ผู้ฟัง ยังไม่ดับ

ท่านอาจารย์ จักขุวิญญาณดับแล้ว อะไรเกิดต่อ

ผู้ฟัง สัมปฏิจฉันนะ

ท่านอาจารย์ สัมปฏิจฉันนจิตเกิดต่อ อาศัยทวารอะไร

ผู้ฟัง ตา

ท่านอาจารย์ อาศัยตา สัมปฏิจฉันนจิตรู้อารมณ์อะไร

ผู้ฟัง รู้อารมณ์ที่ยังไม่ดับ

ท่านอาจารย์ รู้รูปที่จักขุวิญญาณเห็นนั้นแหละที่ยังไม่ดับ แต่สภาพของจิตต่างกันแล้ว แม้ว่ากรรมจะทำให้วิบากจิตเกิดขึ้นก็จริง จักขุวิญญาณก็เป็นวิบากจิต สัมปฏิจฉันนะซึ่งเกิดต่อรับรู้อารมณ์เดียวกัน จะต่างวิบากกันอย่างไร จะต่างผล จะต่างกรรมได้อย่างไร ก็เป็นผลของกรรมเดียวนั่นแหละ ที่ทำให้จักขุวิญญาณเห็นแล้วก็ดับไป แล้วสัมปฏิจฉันนะก็เกิดเพราะกรรมนั้นที่จะให้เห็น ที่จะให้รับรู้รูปนั้นต่อ โดยอาศัยจิตที่เกิดต่อ ดับไปแล้วเกิดขึ้น สัมปฏิจฉันนะที่รู้อารมณ์ทางตา เกิดต่อจากจักขุวิญญาณจิต อาศัยทวารอะไร

ผู้ฟัง อาศัยทวารตา

ท่านอาจารย์ อาศัยทวารตา ภาษาไทย ภาษาบาลีก็เป็นจักขุทวาร ถูกต้องใช่ไหม ขณะนี้ยังไม่ถึงมโนทวาร ตรงนี้ยังไม่สงสัย เพราะยังไม่ได้คิดอะไร เพียงแค่เห็นแล้วก็มีจิตซึ่งรับรู้อารมณ์นั้นต่อ เร็วมากเลย คือ แต่ละ ๑ ขณะจิต เท่านั้นเอง

รู้ไหมว่า ขณะนี้กำลังเป็นอย่างนั้น มีทั้ง ปัญจทวาราวัชชนะ มีทั้ง จักขุวิญญาณ มีทั้ง สัมปฏิจฉันนจิต ดับไปแล้วเป็นปัจจัยทำให้วิบากจิตเกิดต่ออีก ที่จะรู้โดยพิจารณา ซึ่งเวลาใช้คำว่า “พิจารณา” ภาษาไทยยาวมาก แต่ให้เห็นความต่างของจิต ๓ ขณะ จักขุวิญญาณเห็น เท่านั้น สัมปฏิจฉันนะรับเท่านั้น สันตีรณะเกิดต่อ รู้เพิ่มขึ้นอีก เท่านั้น แล้วก็ดับไป อาศัยทวารไหน

ผู้ฟัง ทวารตา

ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

ผู้ฟัง เพราะรูปยังไม่ดับ

ท่านอาจารย์ เพราะจักขุปสาทก็ยังไม่ดับ และรูปที่กระทบจักขุปสาทก็ยังไม่ดับ หลังจากนั้นก็จะมีจิตที่เปลี่ยนแล้วจากวิบากจิต ถ้ามีแค่นั้นก็ดีใช่ไหม ไม่รู้เรื่องอะไร เลย เห็นแล้วก็หมด เห็นแล้วก็หมด แต่จิตไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย หลังจากที่สันตีรณจิตดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้จิตอื่นเกิดต่อได้ไหม (ได้) คือจิตอะไร

ผู้ฟัง โวฏฐัพพนจิต

ท่านอาจารย์ จิตที่ทำ โวฏฐัพพนกิจ ถ้าใช้คำว่า “โวฏฐัพพนะ” หมายความถึงกิจ เป็นกิริยาจิต ยังเป็นกุศล อกุศลไม่ได้เลย ดูเหมือนจะช้า กว่าที่จะเป็นกุศล อกุศล แต่ความจริงประมาณไม่ได้เลยถึงความรวดเร็ว นี่เป็นการแสดงเพียงรูปๆ หนึ่งซึ่งเกิดแล้ว มีอายุ ๑๗ ขณะ ยังไม่ดับ แต่ ณ บัดนี้นับไม่ถ้วน จนปรากฏเป็นคน เป็นสัตว์ต่างๆ

หลังจากที่สันตีรณจิตดับไปแล้ว จิตที่เกิดต่อต้องเป็น โวฏฐัพพนจิต เป็นกิริยาจิต ทุกคนมีเหมือนกันหรือไม่ หรือว่าบางคนมี บางคนไม่มี

ผู้ฟัง มีเหมือนกัน

ท่านอาจารย์ เหมือนกันเลย เพราะอะไร เพราะเป็นธรรม เป็น ธรรมนิยาม เป็น จิตนิยาม ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย โดยปัจจัยแต่ละปัจจัย ตั้งแต่ขณะแรกที่เกิดจนกระทั่งแต่ละขณะที่เกิดสืบต่อ ตามปัจจัยมากมาย

กว่าปัญญาจะค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจ แม้ในขั้นการฟัง ที่จะมีความมั่นคงในสัจญาณ คือ ธรรมเป็นธรรม ไม่เป็นใครทั้งสิ้น ก็ต้องอาศัยการไตร่ตรอง

โวฏฐัพพนจิตเป็นกิริยาจิต ไม่ใช่วิบากจิต เพราะสามารถจะรู้อารมณ์ได้ทั้งอารมณ์ที่น่าพอใจ เป็นผลของกุศลกรรม และอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ เป็นผลของอกุศลกรรม

เพราะฉะนั้น จิตใดก็ตามที่สามารถรับรู้อารมณ์ซึ่งเป็นผลของทั้งกุศลกรรม หรืออกุศลกรรมได้ทั้ง ๒ อย่าง จิตนั้นเป็นกิริยาจิต แต่ถ้าเป็นวิบากจิต กุศลกรรมทำให้กุศลวิบากจิตเกิดขึ้น รู้อารมณ์ที่น่าพอใจ จะรู้อารมณ์ที่ไม่น่าพอใจไม่ได้ หรือเวลาที่อกุศลกรรมให้ผล ทำให้อกุศลวิบากจิตเกิด ก็จะต้องรู้อารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ จิตนี้จะไปรู้อารมณ์ที่น่าพอใจ ซึ่งเป็นผลของกุศลกรรมไม่ได้เลย

ท่านอาจารย์ ขณะนี้รูปดับหรือยัง

ผู้ฟัง ยังไม่ดับ

ท่านอาจารย์ ผ่านไปกี่ขณะแล้ว อตีตภวังค์ ๑ ภวังคจลนะ ๒ ภวังคุปัจเฉทะ ๓ อาวัชชนะ (ปัญจทวาราวัชชนะ) ๔ จักขุวิญญาณ ๕ สัมปฏิจฉันนะ ๖ สันตีรณะ ๗ โวฏฐัพพนะ ๘ แม้รูปยังไม่ดับ กุศลจิต อกุศลจิตก็เกิดได้ตามการสะสม ใครยับยั้งได้

นี่คือการรู้ความต่างของปัญจทวาร และมโนทวาร ที่กล่าวว่า “ปัญจทวาร” เพราะอาศัยทวารที่เป็นรูป จะเป็นตาก็ต้องเป็นจักขุทวารวิถีตลอดหมดจนกว่ารูปจะดับ ถ้าเป็นทางหู เสียงที่ปรากฏนิดเดียว เหมือนได้ยินแล้วดับไป แต่กุศลจิต และอกุศลจิตก็เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย เพราะว่ารูป ๑๗ ขณะ และจิตเกิดแล้วก็รู้อารมณ์นั้น รูปยังไม่ดับ ด้วยเหตุนี้กุศลจิต หรืออกุศลจิตเกิดสืบต่อ โวฏฐัพพนจิตซึ่งเกิดก่อนกุศลจิต และอกุศลจิต มีอีกชื่อหนึ่งว่า “ชวนปฏิปาทกะ” หมายความว่า จิตนี้เป็นบาทเฉพาะที่จะให้กุศลจิตเกิด หรืออกุศลจิตเกิด สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว วิถีจิตตั้งแต่ต้นเหมือนกันหมดเลย แต่เพราะดับกิเลสแล้ว หลังจากที่โวฏฐัพพนจิตดับแล้ว กิริยาจิตเท่านั้นที่จะเกิด ไม่เป็นกุศล และไม่เป็นอกุศลเลย นี่คือความต่างกัน

พระผู้มีพระภาคทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อให้สัตว์โลกได้ถึงการดับกิเลสเช่นพระองค์ด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ได้อบรมเจริญปัญญาเข้าใจความจริง รู้ว่า เพราะปัญญา แม้หลังจากที่เห็นแล้ว เมื่อดับกิเลสแล้ว เวลาที่โวฏฐัพพนจิตดับไปแล้ว ไม่มีทางที่กุศลจิต และอกุศลจิตเกิด แต่ต้องเป็นปัญญาที่ถึงระดับความเป็นพระอรหันต์ ซึ่งดับอกุศลหมด

เพราะฉะนั้น ไม่สงสัยแล้วใช่ไหมเรื่องมโนทวาร กับปัญจทวาร แม้กุศลจิต และอกุศลจิตก็เกิดทางตาได้ เพราะรูปยังไม่ดับ ไม่ว่าจะเป็นเสียงที่ยังไม่ดับ ซึ่งดับเร็วมากขณะนี้ แต่เพราะเป็นโสตทวารวิถีจิต กุศลจิต และอกุศลจิตนั้นก็อาศัยโสตเป็นทวาร ดังนั้น กุศลจิต และอกุศลจิตเกิดได้ทั้ง ๖ ทวาร

ที่กล่าวมาผ่านไปกี่ขณะแล้ว ถึงโวฏฐัพพนะแล้ว เพราะฉะนั้นกุศลจิต และอกุศลจิตจะเกิดต่อซ้ำกัน ๗ ขณะ ถ้าเป็นกุศลก็ดี ใช่ไหม แต่ถ้าเป็นอกุศล จิตเห็น ๑ ขณะ อกุศล ๗ เท่า ยังไม่ได้ไปทำกรรมอะไรเลย แต่สะสมมาที่เมื่อเห็นแล้ว ก็เป็นแล้ว แล้วจะเอากิเลสออกได้อย่างไรที่จะถึงการไม่มีกิเลสเกิดหลังจากที่เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ แต่ต้องเป็นภาวนาทิฏฐานชีวิตัง

ถ้าขณะนี้ไม่มีการอบรมเจริญปัญญาเดี๋ยวนี้ ชาติต่อไปจะรู้ไหม จะได้ยินได้ฟังอีก หรือไม่ สิ่งที่ได้ยินได้ฟังจะเจริญขึ้น สามารถเข้าใจขึ้น อบรมจนกระทั่งสามารถถึงการไม่มีโลภะ คือไม่มีอกุศลใดๆ ทั้งสิ้น ได้ไหม

ชวนะเกิดดับ ๗ ขณะ รวมแล้วเป็นกี่ขณะของรูป (๑๕ ขณะ) ยังเหลืออีก ๒ ขณะ ทำอย่างไร ไม่มีใครไปทำอะไรได้เลย แต่ถ้าเป็นกามบุคคล คือ คนที่เกิดในกามภูมิยังติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ กรรมก็ทำให้วิบากจิตเกิดขึ้นทำหน้าที่รู้ต่อจากชวนจิต ๒ ขณะเท่านั้นเอง หมดเรื่องของจักขุทวารวิถีจิต เพราะต่อจากนั้นก็เป็นภวังค์ ดำรงภพชาติต่อไป ซึ่งมโนทวาราวัชชนจิตจะเกิดสืบต่อทางมโนทวารทันที หลังจากที่ภวังค์หลายๆ ขณะดับไปแล้ว

ด้วยเหตุนี้มโนทวารวิถีจิตจะรู้อารมณ์เดียวกับทางปัญจทวารวิถี ขณะนี้ที่เห็นหลังจากจักขุทวารวิถีซึ่งเป็นกุศล อกุศล ตทาลัมพนะดับไปแล้ว ภวังค์คั่นแล้ว จิตที่เกิดทางมโนทวารไม่ทิ้งอารมณ์นั้นเลย มีวิตกเจตสิกเกิดตรึกนึกถึงอารมณ์ที่ผ่านไปเมื่อกี้นี้ แล้วก็รู้อารมณ์นั้นต่อทางใจ

สำหรับการรับรู้อารมณ์นั้นต่อ หลังจากที่มโนทวาราวัชชนจิต ไม่ได้อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย เพราะว่าเป็นการที่จิตตรึกนึกถึงอารมณ์ที่เพิ่งดับไป ขณะนั้นชวนวิถีจิต คือ กุศลจิต และอกุศลจิตเป็นประเภทเดียวกัน ถ้าทางจักขุทวารเป็นอกุศล มโนทวารวิถีจิตที่เกิดสืบต่อเปลี่ยนไม่ได้ ก็เป็นอกุศล แต่ว่าหลังจากนั้นเปลี่ยนได้ หลังจากหลายๆ วาระของการเกิดดับสืบต่อหมดไปแล้ว เมื่อมโนทวาราวัชชนจิตดับไปแล้ว ซึ่งขณะเดียวเหมือนกัน กุศลจิต หรืออกุศลจิตก็เกิดต่อตามปัญจทวารวิถี เป็นวาระแรก และภวังค์ก็คั่นอีก เพราะสำหรับในภพภูมิที่ไม่ใช่อัปปนาสมาธิ กุศลจิต และอกุศลจิตจะเกิดดับสืบต่ออย่างมาก ๗ ขณะ แต่น้อยกว่า ๗ ขณะก็มี ขณะที่ใกล้จะจุติ ไม่มีกำลังพอที่จะถึง ๗ ขณะ

นี่คือธรรม และใครเป็นเจ้าของจิตสัก ๑ ขณะบ้าง ขณะนี้ก็เป็นไปตามปัจจัยต่างๆ ถ้าไม่รู้ ก็หลงยึดถือว่าเป็นเรา เป็นโลกที่ยั่งยืน แต่เวลาที่สภาพธรรมปรากฏกับปัญญาที่เป็นวิปัสสนาญาณ จะรู้เลยว่าไม่มีโลก ไม่มีอะไร มีแต่ธาตุรู้ซึ่งกำลังมีสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น สิ่งที่เคยเป็นเรา เป็นอะไร หมดเลย นี่คือวิปัสสนาญาณแรก ซึ่งยังไม่ใช่ขันติญาณ ยังต้องไปอีกไกลมาก

พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 431


ภวังคุปัจเฉทะ “ตัดกระแสภวังค์”

ปัญจทวาราวัชชนจิต ชื่อว่า วิถีปฏิปาทกมนสิการ

โวฏฐัพพนจิต หรือ ชวนปฏิปาทกะ


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ