เนิ่นช้าไปจนกว่าจะรู้ความจริง

[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 684 - 685
๗. ปปัญจชยสูตร
ว่าด้วยผู้ไม่มีกิเลสเครื่องเนิ่นช้า
[๑๕๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งพิจารณาการละส่วนสัญญาอันสหรคตด้วยธรรมเครื่องเนิ่นช้าของพระองค์อยู่.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบการละส่วนสัญญาอันสหรคตด้วยธรรมเครื่องเนิ่นช้าชองพระองค์แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ผู้ใดมีกิเลสเครื่องให้เนิ่นช้าและความตั้งอยู่ (ในสงสาร) ก้าวล่วงซึ่งที่ต่อคือตัณหาทิฏฐิ และลิ่มคืออวิชชาได้ แม้โลกคือหมู่สัตว์พร้อมทั้งเทวโลก ย่อมไม่ดูหมิ่นผู้นั้น ผู้ไม่มีตัณหา เป็นมุนี เที่ยวไปอยู่.
อ.อรรณพ: ยิ่งได้ฟังการเกื้อกูลพระธรรมของท่านอาจารย์ ยิ่งเห็นในความอัศจรรย์ของพระธรรมจริงๆ ว่า ช่างสอดคล้องกันตลอด เดิมทีผมตั้งใจว่า กราบเท้าสนทนาท่านอาจารย์ เรื่องถ้าเบื่อเห็นเบื่อที่จะฟังเรื่องเห็น ไม่มีวันที่จะรู้ความจริง เมื่อจบเรื่องนี้แล้วผมก็จะกราบเรียนสนทนากับท่านอาจารย์ในเรื่องที่สนทนาเมื่อวานในคำบรรยายแนวทางเจริญวิปัสสนาของท่านอาจารย์ในเรื่อง ผู้ยินดีในความเนิ่นช้า เหมือนผมก็จะไปแบ่งส่วนไว้ สนทนาเรื่อง เห็น แทบจะไม่รู้อะไรเลยกับเรื่องผู้ยินดีในความเนิ่นช้า ปปัญจรติ แต่ผมก็อัศจรรย์ใจว่า พระธรรมนี่แทงตลอดถึงกันหมดเลย ที่ท่านอาจารย์ได้สนทนาเมื่อสักครู่ครับว่า อริยสัจจ์ที่ ๒ โลภะ อยากที่จะฟังเรื่องนี้ นี่ก็คือตัวเนิ่นช้าแล้ว ก็คือความอยาก เป็นสภาพธรรมะที่เนิ่นช้า แล้วก็ยินดีในความเนิ่นช้านั้น คือยินดีที่จะอยากฟัง เรื่องอื่นๆ ๆ ๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อที่โลภะจะเกิด ก็ยินดีในโลภะ ซึ้งในครับท่านอาจารย์ถึงประเด็นนั้นเลยครับ
ก็เลยระลึกถึงข้อความที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวในแนวทางเจริญวิปัสสนาที่ผมได้ตัดตอนออกมา ซึ่งท่านอาจารย์ได้ยอข้อความใน อรรถกถาจูฬสีหนาสูตร ซึ่งเป็นข้อความที่สมจริงกับพวกเราทั้งหลาย ความว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมยินดีในความเนิ่นช้านั้น และเมื่อสักครู่นี้ยินดีในความเนิ่นช้า คือ ยินดีที่อยากจะไปรู้เรื่องอื่นๆ ไม่ยินดีที่จะใส่ใจฟังเพื่อให้รู้จักความเนิ่นช้า ซึ่งเป็นโลภะที่ไม่อยากที่จะฟังเรื่องเห็น แต่อยากจะฟังเรื่องอื่น
กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ สัตว์ทั้งหลายย่อมยินดีในความเนิ่นช้า ต้องมีความละเอียดมากมายครับ ท่านอาจารย์โปรดอนุเคราะห์ด้วยครับ
ท่านอาจารย์: เนิ่นช้าไปจนกว่าจะรู้ความจริงใช่ไหม ทีละเล็กทีละน้อย?
อ.อรรณพ: เนิ่นช้าไปจนกว่าจะรู้ความจริง
ท่านอาจารย์: จนกว่าจะรู้ความจริงทีละเล็กทีละน้อย
อ.อรรณพ: ทีละเล็กทีละน้อยครับ ซึ่งเมื่อวานก็ได้สนทนากัน แล้วก็ไปสนทนาต่อตอนค่ำด้วย หลายๆ ท่านก็เป็นผู้ที่ตรงครับ บอกว่าท่านก็ยังมีความติดข้องในเรื่องโน้นเรื่องนี้ เนิ่นช้าอยู่ ทั้งๆ ที่รู้ว่าโลภะไม่ดี แต่ในวงเล็บ คือไม่รู้จริง ก็เป็นผู้ตรงว่า ยังติดข้องเนิ่นช้า แต่คำเมื่อกี้ดีมากครับท่านอาจารย์ว่า จะเนิ่นช้าต่อไปอีกจนกระทั่งค่อยๆ รู้ความจริงครับ
ท่านอาจารย์ครับ ยังต้องเนิ่นช้าไปเรื่อยๆ
ท่านอาจารย์: เมื่อมีเหตุ แต่ถ้าเหตุรู้ความจริง ก็จะคลายความเนิ่นช้าลง
อ.อรรณพ: ท่านอาจารย์โปรดแสดงเหตุ
ท่านอาจารย์: ถ้าเราไม่สนทนากันวันนี้ ก็ยังเนิ่นช้ากันต่อไปอีกนานใช่ไหม?
อ.อรรณพ: ใช่ครับ
ท่านอาจารย์: แต่เมื่อเราสนทนากันก็ยังมีการที่จะระลึกได้ ขณะนั้นก็ไม่เนิ่นช้าในขณะที่ระลึกได้ ค่อยๆ ไปไม่เนิ่นช้าอยู่ที่นั่นแหละไม่ไปไหนอยู่ที่สิ่งที่ปรากฏที่ต้องการเสมอไม่เคยขาด
อ.อรรณพ: แม้ธรรมะเป็นอนัตตา แล้วสิ่งที่เกิดก็เกิดตามปัจจัย ในเมื่อมีปัจจัยให้ธรรมะที่เนิ่นช้าเกิด ก็คือความยินดีติดข้อง ความสำคัญตน และก็ความเห็นผิด อันนี้หนักครับก็เกิด แต่ท่านอาจารย์ก็กล่าวความเป็นธรรมตานะ เป็นปกติของผู้อบรมเจริญว่า ก็ยังต้องเนิ่นช้นต่อไป ยินดีในคนตรี ในหนังในละคร ฟังเสียงเพลง อาหารอร่อยต่อไป ใครจะไปห้ามได้ แต่ว่าท่านอาจารย์กล่าวเมื่อสักครู่ เฉพาะตรงที่เป็นประโยชน์ คือตรงที่ได้เข้าใจความจริง แม้ได้รู้จักความเนิ่นช้า ท่านอาจารย์โปรดแสดงธรรมที่จะให้รู้จักความเนิ่นช้าให้ยิ่งขึ้นครับ
ท่านอาจารย์: ฟังแล้วเห็นพระมหากรุณาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม? ไม่ทรงละเลยแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ที่จะให้คนได้ฟังได้คิดได้ไตร่ตรองได้สะสมไป ทวนกระแสของคลื่นของอวิชชา และโลภะ ที่แรงมากไหลไปตลอดเวลาไม่หยุดยั้ง คิดดู! โอฆะ เป็นอย่างนี้หรือเปล่า? แล้วก็จะไปไหน ไปทางที่ตรงกันข้ามกับโลภะและอวิชชา เห็นไหม!! ถ้าไม่มีกำลังไม่มีแรงเลย ไม่มีทางเลย ความเนิ่นช้าจะเพิ่มไปเรื่อยๆ มหาศาลขึ้น
อ.อรรณพ: อันนี้น่ากลัวถ้าความเนิ่นช้าเกิด เพิ่มความเนิ่นช้าๆ ๆ ๆ ไป โดยเฉพาะเนิ่นช้าในความเห็นผิดซึ่งก็ต้องมีความเนิ่นช้าด้วยความติดข้องเกิดร่วมด้วย ถ้าเนิ่นช้าด้วยความเห็นผิดจนกระทั่งเป็นการเนิ่นช้าที่เถาวรเป็นความเห็นผิดที่ดิ่งครับ ท่านอาจารย์ครับไม่มีวันที่จะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันแล้ว!!
ก็ซาบซึ้งถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของพระอริยเจ้าทั้งหลายที่ท่านแสดงที่จะทำให้รู้จักความเนิ่นช้า แล้วก็คลายจากความเนิ่นช้า ท่านอาจารย์ครับ เนิ่นช้านี่ เนิ่นช้าตอนไหน เมื่อไหร่ อย่างไรครับ?
ท่านอาจารย์: ทุกขณะที่เป็นอกุศลที่ประมาท
อ.อรรณพ: ทุกขณะที่เป็นอกุศลที่ประมาท ท่านอาจารย์ครับอย่างพระโสดาบันท่านก็ยังมีกิเลสที่เหลือ ตอนที่กิเลสท่านเกิดท่านก็จะไม่เกิดเกิน ๗ ชาติ จะเนิ่นช้าอย่างไรครับ แล้วพวกเราก็จะยิ่งหนักใหญ่
ท่านอาจารย์: กำลังของโลภะของพระโสดาบันเท่ากับกำลังของโลภะของคนที่ไม่รู้ความจริงไหม?
อ.อรรณพ: ไม่เท่าครับ เบาบาง
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น การที่ปัญญาจะมีกำลังขึ้นสำหรับพระโสดาบันจะมากกว่าคนที่ไม่มีปัญญาถึงการที่จะรู้สภาพธรรมะตามความเป็นจริงไหม?
อ.อรรณพ: ต้องต่างกันมากครับ
ท่านอาจารย์: แล้วจะให้เกิดอย่างไร เท่าๆ กันหรือ?
อ.อรรณพ: ไม่เท่ากันครับ
ขอเชิญอ่านได้ที่ ..
ธรรมเครื่องเนิ่นช้า [ภูตเถรคาถา]
กิเลสเครื่องให้เนิ่นช้าและความตั้งอยู่ [ปปัญจชยสูตร]
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ


