หนทางที่จะรู้ รู้ได้ แต่ละเอียดลึกซึ้ง

[เล่มที่ 11] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 22
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งที่มีวาทะว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลก ว่าเที่ยง สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมบัญญัติด้วยวัตถุ ๔ นี้เท่านั้น หรือด้วยอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๔ อย่างนี้ นอกจากนี้ไม่มี. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะเป็นที่ตั้งแห่งวาทะเหล่านี้ ที่บุคคลถือไว้อย่างนั้นแล้ว ยึดไว้อย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น. อนึ่ง ตถาคตย่อมรู้เหตุนั้นชัด และรู้ชัดยิ่งไปกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย และเมื่อไม่ยึดมั่น ตถาคตก็รู้ความดับสนิทของตนเอง รู้ความเกิด ความดับ คุณ โทษแห่งเวทนาทั้งหลาย กับอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้น ตามความเป็นจริง. เพราะไม่ยึดมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้ ที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ที่ตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง อันเป็นเหตุให้คนทั้งหลายกล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ. จบภาณวารที่หนึ่ง
[เล่มที่ 30] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 27 - 28
อรรถกถาวิภังคสูตร
พึงทราบวินิจฉัยใน วิภังคสูตรที่ ๘.
ในสัจจะ ๔ เหล่านั้น สัจจะ ๒ ชื่อว่า เป็นธรรมลุ่มลึก เพราะเห็นได้ยาก. สัจจะ ๒ ชื่อว่า เห็นได้ยาก เพราะเป็นธรรมลุ่มลึก. จริงอยู่ทุกขสัจจะ ก็ปรากฏได้ เพราะความเกิดขึ้น ย่อมถึงแม้ซึ่งอันตนพึงกล่าวว่า ทุกข์หนอ ในการกระทบด้วยตอและหนามเป็นต้น. แม้สมุทัยก็ปรากฏได้เพราะความเกิดขึ้น ด้วยสามารถมีความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะเคี้ยวกินและจะบริโภค เป็นต้น. แต่ว่า โดยการแทงตลอดถึงลักษณะ ทุกข์และสมุทยสัจแม้ทั้งสองก็เป็นธรรมลุ่มลึก. สัจจะเหล่านั้น ชื่อว่า เป็นธรรมอันลุ่มลึก. เพราะเห็นได้ยาก ด้วยประการดังนี้.
อ.ณภัทร: การที่เราฟังพระธรรมก็เพื่อรู้ตามความเป็นจริงของสิ่งที่มี ซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อน และไม่สามารถจะคิดเองได้ ถ้าไม่อาสาการตรีสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ทรงแสดงเอาไว้โดยละเอียดเป็นอันมาก
ฉะนั้น การที่เราได้ฟัง ยกตัวอย่าง แค่เห็นเที่ยงหรือไม่เที่ยงที่มีกล่าวไว้ในพระสูตร ก็เป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งจริงๆ เพราะว่า เรายังไม่เห็นการเกิดดับว่า ไม่เที่ยงจริงๆ ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องตรงใช่ไหม? พระองค์ตรัสรู้ความจริงเปลี่ยนไม่ได้ และหนทางที่จะรู้ รู้ได้ แต่ละเอียดลึกซึ้ง ข้ามไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ตนเองเป็นผู้รู้ความจริงว่า เข้าใจแค่ไหน อยู่ดีๆ แค่นี้ แล้วจะไปประจักษ์แจ้งสภาพธรรมะที่กำลังเกิดดับโดยไม่รู้เดี๋ยวนี้เลยว่า อะไร? เป็นไปไม่ได้!!
นั่นเป็นหนทางเพิ่มความไม่รู้ต่อไปอีก แยบยลมากที่จะคิดว่า รู้แล้ว
อ.ณภัทร: อย่างเห็นไม่เที่ยง ฟังเบื้องต้นที่จะเข้าใจว่า เห็นเกิด เห็นต้องดับ ถ้าเห็นไม่ดับ สภาพธรรมอื่นก็จะปรากฏไม่ได้ เห็นไม่ใช่ได้ยิน เห็นไม่ใช่คิด อันนี้ฟังแล้วพิจารณาตามก็พอที่จะเข้าใจได้ ดังนั้น ปัญญาที่เป็นความเข้าใจถูกจริงๆ ที่ไม่ใช่เราที่จะเข้าไปคิดว่า อันนี้เป็นปัญญาของเราที่เข้าใจว่า เห็น ไม่ใช่คิด คิดไม่ใช่จำ เป็นต้น ที่จะเป็นตัวปัญญาจริงๆ อย่างนี้ครับ
ท่านอาจารย์: พูดอย่างนี้แล้วใช่ไหม?
อ.ณภัทร: ครับ
ท่านอาจารย์: พูดอย่างนี้แล้วใช่ไหม? ตรง พูดอย่างนี้แล้วใช่ไหม?
อ.ณภัทร: ครับ
ท่านอาจารย์: ใช่ครับ ใช่ไหม?
อ.ณภัทร: ใช่ครับ
ท่านอาจารย์: แต่ ยังไม่รู้ตรงเห็น ใช่ไหม?
อ.ณภัทร: ยังไม่รู้ตรงเห็นจริงๆ ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จะไปประจักษ์การเกิดดับได้ไหม?
อ.ณภัทร: เป็นไปไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนััน ต้องตอบตรง เราจะได้เข้าใจตรง ลึกซึ้งขึ้น
อ.ณภัทร: ครับ
ท่านอาจารย์: เริ่มเป็นคนตรงต่อความจริง คือเพื่อเข้าใจถูกต้อง ต้องละเอียด ถามอย่างไรก็ต้องไตร่ตรอง แล้วตอบให้ตรง ละเอียด จึงจะรู้ความละเอียดลึกซึ้งได้ ไม่ใช่ข้ามไปเลย รู้แล้ว ไม่ใช่!!
แม้แต่ว่า ได้ฟังอย่างนี้ แล้วอย่างไรถึงจะรู้แจ้งธรรม ได้ฟังอย่างนี้แต่ยังไม่รู้ตรงหนึ่งที่ได้ฟังเลย สักหนึ่งเดียว เฉพาะหนึ่งเกิดหนึ่งดับ ทุกอย่างมีคำอธิบายที่ต้องไตร่ตรอง เพราะเป็นความจริง
ทรงแสดงความจริงไว้โดยตลอดโดยประการทั้งปวง ต้องศึกษาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง พิจารณาไตร่ตรองเห็นความละเอียดลึกซึ้ง ห่างไกลกันมากกับเพียงขั้นฟังแล้วจำแล้วคิดนิดเดียวไม่ทั่วถึง
อ.ณภัทร: ดังนั้น การได้ฟังพิจารณา อย่างการที่จะรู้การเกิดดับยังไม่ต้องพูดถึงว่า จะไปรู้การเกิดดับ แต่ว่า ให้รู้ก่อนว่าสภาพธรรมะมีความแตกต่างกันอย่างไรที่เป็นสภาพรู้กับไม่ใช่สภาพรู้ ถ้ายังไม่รู้เริ่มต้นอย่างนี้ ก็ไม่เป็นเหตุเป็นผลที่จะเป็นปัญญาที่จะค่อยๆ รู้ตามความเป็นจริงของการเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปครับ
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไตร่ตรองโดยละเอียดรอบคอบ จะรู้ไหมว่า พระองค์ทรงแสดงธรรมะให้รู้อะไร?
อ.ณภัทร: ก็ทรงแสดงตามลำดับครับ
ท่านอาจารย์: เห็นไหม!! ตอบไหมนี่!! พระองค์ทรงแสดงให้รู้อะไร ไปตอบว่าตามลำดับ
อ.ณภัทร: ให้รู้ธรรมะที่กำลังมีก่อนครับ
ท่านอาจารย์: เห็นไหม ลืมไหมว่า เดี๋ยวนี้อะไรมี!!
อ.ณภัทร: ลืมเสมอครับ
ท่านอาจารย์: นั่น! แล้วก็ไปเรื่องอื่นตลอด แต่ไม่ได้ตรงความไตร่ตรองในคำถามว่า ให้เข้าใจอะไรที่ ลึกซึ้งขึ้นๆ ๆ ขึ้นไปอีก จนกว่าจะปราศจากความจริงที่ลึกซึ้งถึงที่สุดที่ไม่ปรากฏ
อ.ณภัทร: ครับ
ท่านอาจารย์: ถ้าปรากฏจะลึกซึ้งไหม?
อ.ณภัทร: ถ้าปรากฏจะลึกซึ้งไหม
ท่านอาจารย์: เริ่มไตร่ตรองแล้ว ไม่ไปไหนแล้ว อยู่ตรงนี้แหละ!! มั่นคงล่ะ
อ.ณภัทร: ต้องไตร่ตรองจริงๆ ครับ
ท่านอาจารย์: อะไรลึกซึ้ง เห็นไหม? เห็นเกิด ลึกซึ้งไหม? ตัวเห็น ลึกซึ้งไหม? ยังไม่ต้องถึงเกิดเลย แค่ เห็น ลึกซึ้งไหม?
อ.ณภัทร: ลึกซึ้งครับ
ท่านอาจารย์: แล้ว เห็น เกิดแล้วดับ ลึกซึ้งไหม? เห็นไหม ธรรมะลึกซึ้งอย่างยิ่ง ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงจึงลึกซึ้ง เห็นไหม?
อ.ณภัทร: ครับ
ท่านอาจารย์: เติมความหมายลงไปว่า ลึกซึ้ง เพราะไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง ถ้าปรากฏตามความเป็นจริงอย่างที่เห็นๆ กันอย่างนี้ ไม่ลึกซึ้งเลย
อ.ณภัทร: ใช่ครับ
ท่านอาจารย์: แต่เพราะลึกซึ้ง ไม่ปรากฏ
อ.ณภัทร: ชัดเจนมากครับ ท่านอาจารย์ว่า เพราะไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงจึงลึกซึ้งครับ
ท่านอาจารย์: ต้องตรงอย่างนี้ค่ะ ตรงไปเรื่อยๆ ทุกขณะ มั่นคง สภาพธรรมะก็คงทนต่อการที่จะเข้าใจ เปลี่ยนไม่ได้ ธรรมะหนึ่งเป็นธรรมะหนึ่งมากมายมหาศาลประมาณไม่ได้
แต่ละหนึ่งต้องเกิดจึงมี เกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ กี่ชาติๆ ก็ไม่เป็นขณะนี้เลย ดับจริงๆ ไม่เกิดอีกเลยจริงๆ แต่เป็นปัจจัยให้สภาพธรรมะเกิดต่อ ตราบใดที่สภาพธรรมะนั้นเป็นเหตุให้สภาพธรรมอื่นเกิดสืบต่อ ก็ต้องเกิดสืบต่อไปเหมือนเดี๋ยวนี้เลย ตั้งแต่เช้ามาจนถึงเดี๋ยวนี้สืบต่ออยู่ตลอดเวลา ไม่รู้เลยว่า อะไรบ้างเกิดดับ
อ.ณภัทร: ครับ
ขอเชิญอ่านได้ที่ ..
ทุกข์และสมุทยสัจเป็นธรรมลุ่มลึก เพราะเห็นได้ยาก [อรรถกถาวิภังคสูตร]
ขอเชิญฟังได้ที่ ..
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.ณภัทร ด้วยความเคารพค่ะ


