ใส่ใจที่จะรู้จักได้ยิน

[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 1 - 2
๑. เทศนาสูตร
ว่าด้วยปฏิจจสมุปบาท
[๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี . ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับ พระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสพระพุทธดำรัสนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงปฏิจจสมุปบาทแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังปฏิจจสมุปบาทนั้น จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว . ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.
อ.วิชัย: จากการสนทนาเมื่อวานนี้ครับ ท่านอาจารย์ได้ให้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของ การศึกษาเล่าเรียนที่เป็นขั้นปริยัติ แล้วจากการสนทนาเมื่อสักครู่ก็มีความรู้ความเข้าใจว่าไม่ใช่เป็นการศึกษาเพียงเรื่องราว แต่ต้องเข้าใจในความหมาย ในอรรถะ ในลักษณะของธรรมะจากคำนั้นๆ จนมั่นคงครับ และก็ค่อยๆ สะสมไว้ และตอนหนึ่งที่กล่าวถึงว่า การสะสมความเข้าใจในขั้นปริยัติ อย่างการศึกษาเรื่องธรรมะเป็นสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ แต่การที่จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยน้อมไปสู่ลักษณะจนถึง ขั้นปฏิปัตติ คือถึงเฉพาะที่กล่าวว่า ต้องเป็นผู้มีความใส่ใจ ด้วยครับ
ตรงนี้ครับท่านอาจารย์ ก็คิดว่าขณะที่ฟังก็มีความใส่ใจในคำในเรื่องราว แต่เหมือนกับว่า ถ้าใส่ใจด้วยความเป็นเราก็ไม่ถูกต้องแล้ว ที่จะไปพยายามจะรู้ แต่ที่กล่าวถึงว่า ต้องมีการ ใส่ใจ ในสภาพ หรือในธรรมะที่จะเป็นเหตุให้ความรู้อีกระดับหนึ่งค่อยๆ เกิดขึ้นนี้เป็นอย่างไรครับ
ท่านอาจารย์: ใส่ใจในเรื่องราวใช่ไหม? ตามปกติพูดว่าอย่างไร เรื่องอะไร แล้วอะไรเป็นธรรมะ?
อ.วิชัย: ไม่เจอธรรมะครับ
ท่านอาจารย์: เห็นไหม!! เพราะฉะนั้น แม้แต่ธรรมะก็ต้องตรง อะไรเป็นธรรม? ขาดธรรมะได้ไหม?
อ.วิชัย: ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์: แต่ไม่รู้ เห็นไหม!! แค่นี้ตอบได้ ขาดไม่ได้ แต่ไม่รู้
อ.วิชัย: ครับ แล้วความใส่ใจ หมายความว่าจะเป็นการศึกษาที่จะรู้ว่า ไม่ใช่เพียงฟัง แต่ว่าก็ต้องมีการใส่ใจ หมายถึงว่าต้องเป็นปกติที่ๆ ความเข้าใจเขาเกิดขึ้นเจริญขึ้น ก็มีความใส่ใจในธรรมะนั้นเองใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์: ยังค่ะ ต้องตามลำดับขั้นของความเข้าใจ เดี๋ยวนี้อะไรจริง?
อ.วิชัย: ได้ยินจริงครับ
ท่านอาจารย์: ได้ยินเกิดแล้วดับไหม?
อ.วิชัย: ได้ยินเกิดแล้วดับครับ
ท่านอาจารย์: แล้วได้ยินอะไร?
อ.วิชัย: ได้ยินเสียงครับ
ท่านอาจารย์: เสียงเกิดหรือเปล่า?
อ.วิชัย: เกิดครับ
ท่านอาจารย์: ดับไหม?
อ.วิชัย: ดับครับ
ท่านอาจารย์: เสียงเป็นได้ยินหรือเปล่า?
อ.วิชัย: เสียงไม่ใช่ได้ยินครับ
ท่านอาจารย์: ได้ยินเป็นเสียงหรือเปล่า?
อ.วิชัย: ได้ยินไม่ใช่เสียงครับ
ท่านอาจารย์: แค่นี้พอไหม?
อ.วิชัย: ไม่พอครับ
ท่านอาจารย์: เริ่มรู้ว่า ตอบอย่างนี้ทุกคนตอบได้ แต่ไม่พอเลยเพราะอะไร? ยังไม่รู้อาการของได้ยินที่ต่างกับเสียง
อ.วิชัย: ยังไม่รู้อาการ..
ท่านอาจารย์: ว่า ได้ยินต่างกับเสียงอย่างไร? บอกว่าได้ยินไม่ใช่เสียง เสียงไม่ใช่ได้ยิน แล้วทั้ง ๒ อย่างนี้ต่างกันอย่างไร? ตอบได้ไหม?
อ.วิชัย: ไม่ได้ครับ เพราะว่าลักษณะตัวจริงของเขายังไม่ปรากฏให้รู้
ท่านอาจารย์: นั่นแหละ!! แต่ว่าเท่าที่ฟังพอจะรู้เพิ่มขึ้นไหม มิเช่นนั้น จะไม่มีการเพิ่มความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ความเข้าใจกว่าจะเพิ่มได้ทีละมากๆ เป็นไปไม่ได้ ไปจบเรื่องของได้ยินอย่างนี้อย่างโน้น อายตนะอะไร ไม่ได้เลย ตราบใดที่ยังไม่รู้จักได้ยินจริงๆ ว่า ได้ยินคืออะไร
ได้ยินไม่ใช่เสียง เสียงไม่ใช่ได้ยิน ว่าทั้ง ๒ อย่างต่างกันอย่างไร?
อ.วิชัย: ท่านอาจารย์ครับ ถ้าต่างกัน ได้ยินเป็นธาตุรู้ เสียงก็เป็นธาตุไม่รู้ แล้วก็เป็นอารมณ์แก่จืตได้ยิน ก็เหมือนกับเป็นการคิด
ท่านอาจารย์: ยาวไปเลย ยาวไปอีกแล้ว ไกลไปอีกแล้ว ต่างกันอย่างไรชัดๆ ทีละเล็กทีละน้อย
อ.วิชัย: ได้ยินเป็นธาตุรู้ เสียงเป็นธาตุที่ไม่รู้ครับ
ท่านอาจารย์: ตอบแล้วนะ
อ.วิชัย: ครับ
ท่านอาจารย์: ทำไมจึงรู้ว่า ได้ยินเป็นธาตุรู้ เห็นไหม!! ต้องใส่ใจไหมที่จะรู้จักได้ยิน ไม่ใช่เพียงพูดว่า ได้ยินเป็นสภาพรู้
อ.วิชัย: ต้องละเอียดขึ้นครับ เป็นการใส่ใจในตัวจริงของเขาครับ
ท่านอาจารย์: ถ้าเราเลยไปไกล เราไม่มีวันย้อนกลับมาที่จะรู้ความจริงเลย แต่ถ้าเราใส่ใจละเอียดลึกซึ้งในความต่างในสิ่งที่ได้ฟัง "ได้ยิน" ไม่ใช่เพียงคำ หรือคิด แต่มีได้ยินจริงๆ "เสียง" ไม่ใช่ไปจำคำ เป็นสิ่งที่ถูกได้ยิน เป็นอารมณ์เป็นอะไรๆ ทั้งหมด ไม่ใช่อย่างนั้น
แต่ลักษณะของเสียงมีจริงๆ และเสียงก็ไม่ใช่ได้ยิน ได้ยินก็ไม่ใช่เสียง ไปจำมา เพราะว่าได้ยินเป็นสภาพรู้ แต่เสียงไม่รู้อะไร
แต่เข้าใจคำว่า สภาพรู้ไหม? ใส่ใจในอาการรู้ไหมที่จะรู้ว่า ที่พูดว่า ธาตุรู้ สภาพรู้ ถ้าไม่ใส่ใจที่จะรู้ในอาการนั้นๆ ไม่สามารถจะรู้ได้เลย ก็เพียงแค่พูด
เพราะฉะนั้น ทุกคนตอบได้ อะไรเป็นนามธรรม อะไรเป็นรูปธรรม แต่ลักษณะของนามธรรม ลักษณะของธาตุรู้ เคยใส่ใจไหมว่า ธาตุรู้เป็นอย่างนี้
อ.วิชัย: ตรงนี้ก็ละเอียดขึ้นครับ ก็น่าอัศจรรย์ที่ได้ยินคำนี้แล้วก็ได้ไตร่ตรอง การที่มีโอกาสได้ฟังแต่ละคำมา บางครั้งก็ไม่มีการใส่ใจถึงครับ ก็เพียงแค่ตอบตามสิ่งที่เราเคยจำไว้ครับ
ท่านอาจารย์: เห็นไหม พระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีอะไรที่จะไม่ทรงพระมหากรุณาแสดงให้รู้สิ่งที่ยากที่จะรู้ได้ว่า แม้แต่สภาพรู้ อาการรู้ ยังไม่รู้จักแน่นอน เพียงแค่พูดตามไตร่ตรองตามสภาพรู้ แต่อาการรู้ ลักษณะรู้ สภาพรู้ ที่ไม่ใช่เราเป็นแต่เพียงธรรมะหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วรู้ ไม่รู้ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวนี้กำลังรู้
เพราะฉะนั้น กว่าจะใส่ใจในสภาพรู้ ถ้าไม่ฟังโดยละเอียด จะไม่รู้ความต่างของอริยสัจจะรอบที่ ๑ กับรอบที่ ๒ และรอบที่ ๓
เพราะฉะนั้น กำลังฟังเริ่มเข้าใจเริ่มจะเป็นรอบที่ ๑ เริ่มจะเป็นเมื่อมีความเข้าใจ รอบรู้ ลึกซึ้งไม่เปลี่ยนแปลงมั่นคง เป็นปัญญาบารมี เป็นสัจจบารมี อธิษฐานบารมี ขาดไม่ได้เลย เผินๆ ไม่มีทางจะรู้ความจริงได้
อ.วิชัย: กราบเท้าท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจ เพราะว่าการฟังการศึกษา หรือแม้จะฟังอีกก็ตาม แต่ว่าถ้าได้เรียนสนทนากับท่านอาจารย์ ก็ได้ความเข้าใจละเอียดขึ้นเพิ่มขึ้นครับ
ขอเชิญอ่านได้ที่ ..
ตั้งใจฟัง คือ ทำไว้ในใจ [อรรถกถาปฏิจจสมุปบาทสูตรที่ ๑]
ขอเชิญฟังได้ที่ ..
จนกว่าจะใส่ใจตรงลักษณะที่กำลังปรากฏ
ใช้คำว่า สังเกต ใส่ใจในอารมณ์ แทน โยนิโสมนสิการ ได้หรือไม่
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.วิชัย ด้วยความเคารพค่ะ


