ถ้าไม่มีคิดเลย จะมีบัญญัติไหม?

 
เมตตา
วันที่  18 ต.ค. 2568
หมายเลข  51212
อ่าน  346

[เล่มที่ 10] พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 326

[๘๒๖] สังขารทั้งปวงที่ปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และ พระนิพพานและบัญญัติ ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตา เมื่อดวงจันทร์ คือ พระพุทธเจ้า ยังไม่เกิดขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์ คือ พระพุทธเจ้า ยังไม่อุทัยขึ้นมา เพียงแต่ชื่อของ สภาวธรรมเหล่านั้น ก็ยังไม่มีใครรู้จัก พระ มหาวีรเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้มีพระจักษุ ทรงทำ ทุกรกิริยามีอย่างต่างๆ ทรงบำเพ็ญบารมี แล้วเสด็จอุบัติในโลกเป็นไปกับพรหมโลก พระองค์ทรงแสดงพระสัทธรรม อันกำจัดเสีย ซึ่งทุกข์ นำมาซึ่งความสุข


อ.วิชัย: ขอโอกาสสนทนากับท่านอาจารย์ครับ เพราะว่ามีการฟังการสนทนา ก็มีบุคคลที่เขาได้กล่าวข้อความใน พระวินัยปิฎก ปริวาระ ขออนุญาติกล่าวให้ท่านอาจารย์ได้ฟัง ผมก็เรียน อ.คำปั่น ช่วยแปลบาลีด้วยครับ ก็มีข้อความดังนี้ครับ

สังขารทั้งปวงที่ปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และ พระนิพพานและบัญญัติ ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตา เมื่อดวงจันทร์ คือ พระพุทธเจ้า ยังไม่เกิดขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์ คือ พระพุทธเจ้า ยังไม่อุทัยขึ้นมา เพียงแต่ชื่อของ สภาวธรรมเหล่านั้น ก็ยังไม่มีใครรู้จัก พระ มหาวีรเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้มีพระจักษุ ทรงทำ ทุกรกิริยามีอย่างต่างๆ ทรงบำเพ็ญบารมี แล้วเสด็จอุบัติในโลกเป็นไปกับพรหมโลก พระองค์ทรงแสดงพระสัทธรรม อันกำจัดเสีย ซึ่งทุกข์ นำมาซึ่งความสุข

ในประเด็นที่จะเรียนสนทนากับท่านอาจารย์ คือข้อความในช่วงแรกครับ อย่างสังขารทั้งปวงที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็เข้าใจได้ครับ แต่ประเด็นที่น่าพิจารณา ก็คือ ... .และ พระนิพพาน และบัญญัติ คือพระนิพพาน ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตา ตรงนี้ก็เรียน อ.คำปั่น ช่วยแปลบาลีในตรงนี้ครับ ก็ได้สนทนากันบ้างบางส่วนครับ แต่ก็ตามความเข้าใจก็เล็กน้อยครับท่านอาจารย์ ก็ศึกษามาก็เข้าใจนิดๆ หน่อยๆ ก็จะกราบเรียนท่านอาจารย์เพิ่มเติมครับ เรียน อ.คำปั่นก่อน

อ.คำปั่น: ก็ขอโอกาสกล่าวใน พยัญชนะ ก่อนครับอ.วิชัย ในตัว พระบาลี ตรงนี้จะเป็นในส่วนของคาถา ซึ่งจะเป็นคำที่สละสลวย คำก็ดูจะยากครับ เพราะว่าเป็นคาถาที่จะต้องมีการลงในฉันทลักษณ์ ที่ลงตัวครับ ซึ่งคาถานี้จะเป็นปัฐยาวัตร ซึ่งคาถาในส่วนนี้มีดังนี้ครับว่า

อนิจฺจา สพฺพสงฺขารา ทุกฺขานตฺตา จ สงฺขตา

นิพฺพานญฺเจว ปณฺณตฺติ อนตฺตา อิติ นิจฺฉยา

นี่คือตัวที่เป็นภาษาบาลี แล้วก็เป็นคาถาครับ ซึ่งในกึ่งคาถาแรกก็พอที่จะเข้าใจได้อย่างที่ อ.วิชัย ได้กล่าวครับ เพราะว่าคำนี้ก็จะตรงตัวเลยครับว่า สังขารทั้งปวงที่ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว เป็นสภาพที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา นี่คือกึ่งคาถานี้แปลจบแล้วนะครับ ทีนี้ประเด็นต่อมาที่เป็นประเด็น ก็คือประโยคที่ว่า นิพฺพานญฺเจว ปณฺณตฺติ อนตฺตา อิติ นิจฺฉยา ซึ่งจากรูปภาษาก็จะแปลได้ ๒ อย่าง ก็คือแปลว่า นิพพาน และบัญญัติ ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตา นี้โดยนัยยะหนึ่งครับ อันนี้ก็ต้องกราบท่านอาจารย์ในความละเอียดครับ หรือถ้าจะพิจารณาจากรูปศัพท์เลยที่ถ้าหากว่า จ ตัวนี้ จะมุ่งหมายอย่างเดียว จะไม่มีอย่างอื่นด้วยครับก็จะแปลว่า สภาพที่เรียกว่า เป็นพระนิพพาน ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตาด้วย เพราะฉะนั้น ก็มี ๒ ลักษณะที่จะแปลอย่างนี้ได้ครับ

ซึ่งถ้าดูในสำนวนอื่นอย่างในฉบับมหาจุฬา ท่านก็แปลว่า นิพพาน และบัญญัติ ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตา ซึ่งก็อ้างอิงข้อความในฏีกาของอรรกถาในพระวินัย ก็ให้เหตุผลดังนี้ครับว่า ที่ท่านนำสิ่งที่เป็นบัญญัติมาวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตารวมกับพระนิพพานซึ่งเป็นปรมัตถธรรมนั้น เพราะว่า ต่างก็ไม่เป็นสิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งเหมือนกัน อันนี้คือเหตุผลที่ท่านวินิจฉัยทั้งนิพพาน และบัญญัติว่าเป็นอนัตตา ก็เพราะว่า ไม่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อันนี้ก็คำครับ ก็ต้องกราบเท้าท่านอาจารย์ในความละเอียด เพราะว่าเป็นสิ่งที่จะต้องมีความเข้าใจให้ถูกต้องมั่นคงจริงๆ แม้พยัญชนะมีอย่างนี้ จะเกื้อกูลต่อการที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริงอย่างไรครับ ก็ขอกราบ อ.วิชัยก่อนครับ

อ.วิชัย: กราบท่านอาจารย์ครับ ฟังแล้วก็น่าพิจารณาเพราะว่าตามการศึกษาเราก็รู้ว่า ถ้าโดยสภาวะธรรมที่เป็นปรมัตถะ แน่นอน เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็รวมถึงธรรมะทั้งหลายทั้งหมดทั้งปวง แต่ถ้ากล่าวถึงบัญญัติ ตามความเข้าใจก็เป็นสิ่งที่รู้ได้โดยประการนั้นๆ ครับ อย่างเป็นจิตที่คิดถึงบัญญัติจากสิ่งที่ปรากฏต่างๆ ครับ แต่ว่าที่ท่านแสดงในตรงนี้ที่ท่านกล่าวว่า บัญญัตื และพระนิพพาน วินิจฉัยว่าเป็นอนัตตา จะมีความเข้าใจอย่างไรครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงใน ๒ อย่างนี้ ก็ไม่สงสัยเลยใช่ไหม ไม่ว่าจะกล่าวว่าอย่างไร?

อ.วิชัย: ครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: นิพพานมีจริงไหม?

อ.วิชัย: มีจริงแน่นอนครับ

ท่านอาจารย์: บัญญัติมีจริงไหม?

อ.วิชัย: บัญญัติ โดยสภาวะ ไม่มีครับ แต่เป็นการที่จิตคิดถึง

ท่านอาจารย์: เมื่อไม่มี จะต้องกล่าวไหมว่าเป็นอะไร?

อ.วิชัย: เมื่อไม่มี ก็ไม่ต้องกล่าวก็ได้ครับ เพราะว่าไม่มีอย่างความคิดก็คิดได้สารพัดเลย อย่างตอนนี้ก็เห็นว่าเป็นสิ่งต่างๆ ก็เป็นเรื่องราว บัญญัติต่างๆ แล้วครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น บัญญัติเป็นภาวะหรือเปล่า?

อ.วิชัย: ไม่ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: ก็เท่านี้ ภาวะของบัญญัติ คือความคิดรู้ความหมายของสิ่งที่ปรากฏ ถูกต้องไหม?

อ.วิชัย: ใช่ครับ เป็นเพียงจิตที่คิด

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ทั้งหมดที่มี เป็นอนัตตา

อ.วิชัย: ตรงนี้หมายความว่า ท่านจะแสดงไม่ให้หลงเหลือเลยว่า อย่างนี้ครับท่านอาจารย์ อย่างผมเห็นเป็นจอก็เหมือนเป็นบัญญัติแล้วก็มีการคิดและก็หมายรู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ความจริงที่ท่านปฏิเสธตรงนี้ว่า แม้จอตรงนี้ก็ไม่มีใช่ไหมครับที่ว่า เป็นอนัตตา คือไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด

ท่านอาจารย์: ถ้าไม่มีคิดเลย จะมีบัญญัติไหม?

อ.วิชัย: ถ้าไม่มีคิดเลย ไม่มีครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น บัญญัติมีจริงๆ หรือเปล่า?

อ.วิชัย: บัญญัติไม่มีจริงครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น แน่นอนที่สุด สิ่งที่ไม่มีจริงจะเป็นอัตตาอะไรได้ไหม?

อ.วิชัย: ก็ไม่ได้แน่นอนครับ

ท่านอาจารย์: ถ้ามีความเข้าใจธรรมะ ไม่ว่าจะพูดถึงในรูปศัพท์ใด ความหมายเปลี่ยนไม่ได้

อ.วิชัย: ครับ ตรงนี้ครับขออนุญาติท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจจากการศึกษาพระไตรปิฎก จะมีข้อความมากมายซึ่งแน่นอนถ้าไม่มีความเข้าใจมั่นคงตามลำดับอย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวในช่วงแรกว่า ถ้ามีความเข้าใจสิ่งนั้น ก็จะคลายจากความสงสัยในคำต่างๆ ที่อาจจะได้พบในที่ต่างๆ เพิ่มขึ้นครับ ตรงนี้ก็เรียนท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจจากการศึกษาว่า ถ้ามีการพบข้อความอย่างนี้ครับ บางครั้งก็ชวนให้สงสัยครับ โดยที่เราอาจจะไม่มีความละเอียดที่จะเข้าใจตรงนั้นจริงๆ ครับ

ท่านอาจารย์: ชวนให้สงสัย แต่รู้ว่า บัญญัติไม่มีจริงแน่นอน ถ้าไม่คิด

อ.วิชัย: ถูกต้องครับ

ท่านอาจารย์: แค่นี้ค่ะ ไม่ว่ารูปศัพท์ หรือคำแปลภาษาจะออกมาอย่างไร ต้องเป็นอย่างนี้ เปลี่ยนไม่ได้ ไม่ว่าจะพูดว่าอย่างไร

อ.วิชัย: เปลี่ยนไม่ได้แน่นอนครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจความจริงไม่ว่าโดยนัยยะใดๆ บัญญัติมีไหม?

อ.วิชัย: ไม่มีครับ

ท่านอาจารย์: แล้วจะมาว่า เป็นอัตตาอนัตตาอะไรล่ะ ก็มันไม่มี

อ.วิชัย: ครับท่านอาจารย์ ก็เข้าใจอย่างนี้ครับ แต่พอมาเจอข้อความอย่างนี้ก็ชวนให้คิดครับ

ท่านอาจารย์: ก็มันไม่มี ก็อนัตตามันไม่มี จะไปเป็นอัตตาได้อย่างไร จะเป็นโน่นเป็นนี่ได้อย่างไร

อ.วิชัย: ครับ เข้าใจตรงนี้ได้ครับ ก็เพราะไม่มี จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อย่างไร อย่าง อ.คำปั่น นี่ คิดก็เป็นบัญญัติแล้ว ความจริงก็คือไม่มี ไม่มีอัตตาไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจริงๆ ครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น มั่นคงในความเป็นจริง เปลี่ยนไม่ได้เลย ไม่ว่ารูปแบบของการพูดภาษาในลักษณะใดทั้งสิ้น ก็สามารถที่จะค่อยๆ หันกลับไปสู่ความจริง ไม่ใช่หลงไปตามคำที่ได้ยินได้ฟัง

ขอเชิญอ่านได้ที่ ..

พระนิพพานและบัญญัติ ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตา [ปริวาร]

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.วิชัย อ.คำปั่น ด้วยความเคารพค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ต.ค. 2568

มั่นคงในความเป็นจริง เปลี่ยนไม่ได้เลย ไม่ว่ารูปแบบของการพูดภาษาในลักษณะใดทั้งสิ้น ก็สามารถที่จะค่อยๆ หันกลับไปสู่ความจริง ไม่ใช่หลงไปตามคำที่ได้ยินได้ฟัง

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ