อีกนานเท่าไหร่ เบาใจหรือหนักใจ?

 
เมตตา
วันที่  17 ต.ค. 2568
หมายเลข  51205
อ่าน  308

[เล่มที่ 27] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 341 -342

อรรถกถาคัททูลสูตรที่ ๑

พึงทราบวินิจฉัย ใน คัททูลสูตรที่ ๑ ดังต่อไปนี้ :-

บทว่า ยํ มหาสมุทฺโท ความว่า ในสมัยใด เมื่อพระอาทิตย์ดวงที่ ๕ อุทัยขึ้น มหาสมุทร (ทะเลหลวง) ก็จักเหือดแห้ง.

บทว่า ทุกฺขสฺส อนฺตกิริยํ ความว่า เราตถาคตไม่กล่าว (๑) ถึงการกระทำที่สุด คือ การสิ้นสุดแห่งวัฏฏทุกข์ของสัตบุรุษผู้ยังมิได้แทงตลอดอริยสัจจ์ ๔ แล้ว ถูกอวิชชาร้อยรัดไว้แล้ว.

บทว่า คทฺทูลพนฺโธ ได้แก่ สุนัขที่ถูกล่ามโซ่.

บทว่า ขีเล คือ ที่เสาใหญ่ที่ยังไม่ได้ตอกลงในแผ่นดิน.

บทว่า ถมฺเภ คือ ที่เสา (เล็ก) ที่ฝังไว้.

ในบทว่า เอวเมว โข นี้ พึงทราบอธิบายดังต่อไปนี้ :-

คนพาลที่อาศัยวัฏฏะ พึงทราบว่า เปรียบเหมือนสุนัข.

ทิฏฐิ พึงทราบว่า เปรียบเหมือนโซ่ตรวน.

สักกายะ พึงทราบว่า เปรียบเหมือนเสา.

การหมุนไปตามสักกายะของปุถุชนผู้ถูกผูกติดไว้ที่กายของตนด้วยทิฏฐิและตัณหา พึงทราบว่า เหมือนการวิ่งวนรอบเสาของสุนัขตัวที่ถูกล่ามโซ่และเชือกไว้ติดกับเสา.

จบ อรรคกถาคัททูลสูตรที่ ๑


อ.คำปั่น: ข้อความใน คัททูลสูตร ก็จะมีคำว่า คทฺทูลพนฺโธ หมายความว่าถูกล่ามด้วยโซ่ ก็คือสุนัขที่ถูกล่ามด้วยโว่ ก็เปรียบเหมือนกับสัตว์โลกที่ยังมากไปด้วยความไม่รู้ มากไปด้วยความติดข้อง มากไปด้วยความเห็นผิด ก็ยังต้องวนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ ยังไม่พ้นไปได้เหมือนกับสุนัขที่ถูกล่ามไว้ด้วยโซ่

อ.อรรณพ: ขออนุญาติกราบสนทนากับท่านอาจารย์ว่า พระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียมว่า สุนัขที่ถูกล่ามไว้ด้วยหลักที่ปักไว้แน่นด้วยโซ่ แล้วใน อรรถกถา ก็แสดงไว้ว่า โซ่ ก็คือทิฏฐิ โซ่ตร่วนในอรรถกถาที่คุณหมอจอยอ่านเมื่อคืนนี้ ก็คือทิฏฐิ เสา ก็คือสักกายะ

ซึ่งก็ต้องกราบเท้าท่านอาจารย์ครับว่า โซ่ คือทิฏฐิ แล้วก็เสา ก็คือสักกายะ หรืออุปทานขันธ์ ๕ การที่ผูกไว้กับเสา ก็คือสักกายะด้วยโซ่ คือทิฏฐิ แล้วก็ทรงเปรียบเทียบเหมือนสุนัขเป็นอุปมาที่ทรงเตือนอย่างสะดุ้งครับ ขอท่านอาจารย์ได้ขยายด้วยครับว่า ความแข็งแกร่งของโซ่ คือทิฏฐินี้ แล้วก็ความมั่นคงของหลัก คือสักกายะ คือขันธ์ ๕ ที่เป็นที่ยึดถือ คืออย่างไรครับ

ท่านอาจารย์: ฟังแล้วคิดถึงคำ หรือว่า ฟังแล้ว นี่แหละ เรา เป็นอย่างนี้!! ไม่จำเป็นต้องไปคิดถึง ทีละคำๆ แต่ว่า ตามความเป็นจริง ก็คือว่า จะพ้นไปได้ไหม? ด้วยวิธีใด? เพราะอะไรจึงพ้นไปไม่ได้!! ถูกล่ามไว้ด้วยเสา โซ่ จริงหรือเปล่า? มั่นคงเหลือเกินที่จะปักลงไปให้ยึดว่า เป็นเรา และมีอะไรที่จะค่อยๆ ผ่อน ค่อยๆ คลาย ค่อยๆ ละ จนกว่าจะพ้นจากโซ่ที่ล่ามไว้ที่เสาหลักที่หนาแน่น

เพราะฉะนั้น ฟังแล้วไม่ใช่ไปคิดถึงคำนั้น แต่รู้ความจริงว่า นี่แหละ ที่เคยไม่รู้ และเคยยึดถือว่า เป็นเรา ให้รู้ความจริง ไม่อย่างนั้นก็ไปคิดถึงแต่เรื่องโซ่เรื่องหลัก และคำต่างๆ ขบคิดเรื่องคำต่างๆ แต่ฟังแล้ว ความจริงที่แต่ละคนเป็นอย่างนี้ ไม่พ้นไปได้เลย ถ้าไม่ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีแต่ละคำ

เพราะฉะนั้น ฟังแล้วเบาใจหรือหนักใจ แค่นี้ก็พิสูจน์แล้ว

อ.อรรณพ: ฟังเข้าใจก็เบาใจ ถ้าไม่เข้าใจก็หนักใจ

ท่านอาจารย์: เบาใจว่าอย่างไร?

อ.อรรณพ: เบาใจว่า ได้รู้ว่าเป็นสุนัขที่ถูกล่าม

ท่านอาจารย์: เบาใจว่า ทำอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้นนอกจากเข้าใจ แล้วรู้หนทางที่จะรู้ว่า ขณะนี้เป็นเราแน่นหนาแค่ไหน ไม่ต้องไปคิดสุนัข ไม่ต้องไปคิดถึงโซ่ แต่เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นเป็นเรามั่นคงมานานแสนนานแค่ไหน และกว่าจะพ้นจากการที่ยึดถือว่า เดี๋ยวนี้เป็นเราจากแต่ละหนึ่งที่มีทุกสมัยทุกขณะ อีกนานเท่าไหร่?

อีกนานเท่าไหร่ เบาใจหรือหนักใจ?

อ.อรรณพ: ถ้าเข้าใจความจริงว่า ต้องเป็นเช่นนั้น ไม่สามารถที่จะทำอะไรให้รวดเร็วทางลัดอะไรเลยครับ ก็เบาใจว่าได้เข้าใจความจริง เบาใจที่ได้เข้าใจหนทางของการที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ท่านอาจารย์ใช้คำเมื่อกี้นี้อบอุ่นใจมากเลย ค่อยๆ ผ่อนออกๆ จากโซ่ตร่วนทีละน้อยด้วยการเข้าใจพระธรรมของพระองค์ครับ

คำของพระองค์ช่วยปลดปล่อยสุนัข ถ้าจะพูดถึงสุนัข ก็คือสภาพของความยึดถือที่ยึดเอาไว้ในสภาพธรรมะ กราบท่านอาจารย์ว่า สภาพธรรมะที่โลภะ และทิฏฐิ ติดข้องนี่เป็นสภาพธรรมะที่เพียงเกิดดับ เกิดแล้วดับ ไม่ได้ยั่งยืนเลย เพียงแค่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปสำหรับนามธรรม รูปธรรมก็นิดหน่อยที่จะยาวกว่านั้น เกิดก่อขึ้น แล้วก็สืบต่อ แล้วก็เสื่อม แล้วก็ดับเร็วมาก ทั้งสภาพของรูปธรรม และนามธรรม ไม่ยั่งยืน ทำไมจึงเป็นหลักอันหนักแน่นอย่างนั้นครับ ทั้งที่เขาก็เกิด และดับ ไม่เหลือๆ แต่ทำไมจึงเป็นที่ยึดถือของทิฏฐิได้อย่างมั่นคงเช่นนั้นครับ และโลภะด้วยครับ

ท่านอาจารย์: พูดอย่างนี้พูดได้อย่างไร?

อ.อรรณพ: พูดเพราะว่า ในความเป็นจริงสภาพธรรมะเกิดดับรวดเร็วครับไม่ได้ยั่งยืนยาวเลยครับ

ท่านอาจารย์: พูดอย่างนี้ เพราะเริ่มรู้คำว่า สภาพธรรมะ ใช่ไหม?

อ.อรรณพ: ใช่ครับ

ท่านอาจารย์: เห็นไหม ค่อยๆ ละความเป็นเรา ละเอียดแค่ไหน พูดอย่างนี้เพราะค่อยๆ เริ่มรู้ว่า สิ่งที่มีเป็นสภาพธรรมะ สิ่งที่มีจริงไม่ใช่เรา

เพราะฉะนั้น กว่าจะเบาใจต้องเป็นความเห็นที่รู้ว่า ไม่มีเราที่จะทำอะไรได้เลยทั้งสิ้น เลิกคิดที่จะทำ เลิกคิดที่จะหวัง เพราะรู้ว่า หนทางเดียวที่จะรู้ความจริงทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่ว่าจะไปพากเพียรไปทำอะไร เห็นไหม!! ตรงกันข้ามหมด ความจริงกับความลึกซึ้ง ไม่ใช่ให้ไปพากเพียรทำอะไรเพื่อจะถึง แต่ให้รู้ความจริงว่า ไม่มีใครทำอะไรได้เลย นอกจากสภาพธรรมะแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นทำกิจสภาพธรรมะนั้น

ถ้าฟังไม่เข้าใจ ไม่มีทางเบาใจ หนักใจมาก หาทางอยู่นั่นแหละ แต่พอรู้ว่า ไม่มีทาง ทำอะไรไม่ได้ ไม่ใช่เรา แต่มีปัญญาความเข้าใจถูกอย่างเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ค่อยๆ เห็นความจริง จนกระทั่งเบา ไม่ไปเดือดร้อนพยายามหาทาง แต่รู้ว่า สิ่งนี้จะหมดได้เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ อ.คำปั่น ด้วยความเคารพค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 17 ต.ค. 2568

ไม่มีเราที่จะทำอะไรได้เลย

กว่าจะเบาใจต้องเป็นความเห็นที่รู้ว่า ไม่มีเราที่จะทำอะไรได้เลยทั้งสิ้น เลิกคิดที่จะทำ เลิกคิดที่จะหวัง เพราะรู้ว่า หนทางเดียวที่จะรู้ความจริงทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่ว่าจะไปพากเพียรไปทำอะไร

แต่ให้รู้ความจริงว่า ไม่มีใครทำอะไรได้เลย นอกจากสภาพธรรมแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นทำกิจสภาพธรรมนั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ