ไปสอบทำไม สอบเพื่ออะไร?

[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 13
เมื่อจะถือเอาให้ดี พวกเธอก็จงฟังธรรมนี้ให้มั่น ด้วยอรรถแห่งการบังคับว่า มม อาณตฺติยา สุณาถ เธอทั้งหลายจงฟังตามคำสั่งของเรา ด้วยอรรถว่า เป็นความดีว่า สุนฺทรมิมํ ภทฺทกํ ธมฺมํ สุณาถ เธอจงฟังธรรมนี้ให้ดี ให้เจริญ.
บทว่า มนสิกโรถ ความว่า จงระลึก คือ ประมวลมา. อธิบายว่า เธอจงมีจิตไม่ฟุ้งซ่านตั้งใจฟัง คือ ทำไว้ในใจ.
อ.ธีรพันธ์: การศึกษาธรรม คืออย่างเช่นศึกษาธรรมหมวดต่างๆ แต่ถ้าจะเข้าถึงสิ่งที่มีจริงตรงตามที่เป็นปริยัติ ที่จะเป็นความเข้าใจที่เป็นปริยัติก็ต้องมีความเข้าใจด้วยครับ
ปกติแล้วการศึกษาโดยทั่วไป ก็คิดว่าเป็นการศึกษาจบเป็นเรื่องๆ ครับ เป็นธรรมะหมวดนั้น เป็นปริเฉทนั้น หรือว่าส่วนใดส่วนหนึ่งของพระไตรปิฎกในแต่ละเรื่องที่ทรงแสดงถึง ดูเหมือนเป็นการศึกษาครับ และคิดว่าเป็นการที่เหมือนกับได้เข้าใจคำว่า ศึกษา ซึ่งความจริงไม่เป็นเช่นนั้นครับ แต่ความจริงก็ไม่ได้รู้ตรงตามที่ศึกษาเลย ดูเหมือนเป็นการศึกษา ตรงนี้ครับกราบเท้าท่านอาจารย์ครับ ที่จะให้เห็นถึงความละเอียดว่า ศึกษาเพียงแค่นั้นดูเหมือนรู้ แต่จริงๆ ไม่รู้เลยครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น การศึกษาจึงมี ๓ ระดับใช่ไหม?
อ.ธีรพันธ์: ครับ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ไปกล่าวถึงว่า มีระดับต่อไปเลย เหมือนกับว่าจบเรื่องนั้นก็ได้จบหลักสูตรนั้นแล้วครับ แล้วก็สอบอะไรอย่างนั้น
ท่านอาจารย์: สอบทำไม แล้วหลักสูตรอะไร?
อ.ธีรพันธ์: ครับ อย่างเช่นหลักสูตรพระอภิธรรมระดับขั้นต่างๆ ครับ
ท่านอาจารย์: มีไหม ครั้งพุทธกาล?
อ.ธีรพันธ์: ไม่มีชื่อครับว่าหลักสูตร ไม่มีเลย
ท่านอาจารย์: แล้วมีสอบไหม?
อ.ธีรพันธ์: ไม่มีการสอบครับ
ท่านอาจารย์: ทำไมรู้ว่า ไม่มีการสอบ?
อ.ธีรพันธ์: สมัยโน้นไม่มีการสอบ เพราะว่าไม่ใช่เป็นการสอบที่เป็นเรื่องราว ทรงแสดงถึงสิ่งที่มีจริงที่จะเข้าใจตรงตามพระพุทธประสงค์ที่ทรงแสดงความจริง
ท่านอาจารย์: เพราะว่า ปัญญารู้ความจริง ต้องสอบอะไร?
อ.ธีรพันธ์: ครับ แต่ถ้าไม่รู้อย่างนั้น สอบผ่านก็ไม่รู้อะไรเลย
ท่านอาจารย์: ก็เรื่องอะไรจะไปสอบล่ะ ในเมื่อตัวเองเป็นผู้รู้ใช่ไหมว่า เข้าใจแค่ไหน คนอื่นจะรู้ไหม? แล้วสอบอะไร?
อ.ธีรพันธ์: ครับ ท่านอาจารย์วกมาตรงนี้ ก็คือสอบไปแล้วก็ให้คนอื่นตรวจ แล้วถูก แต่ตนเองไม่รู้ จริงๆ ก็คือสอบตัวเองเท่านั้น ตัวเองเท่านั้นที่จะรู้ หรือไม่รู้นี่ครับ ตรงนี้ ตรงตามตรงตามความเป็นจริงเลยครับ ไม่ต้องสอบ
ท่านอาจารย์: แล้วสอบเพื่ออะไร?
อ.ธีรพันธ์: เพื่อที่จะได้รู้ว่า ตัวเองจบหลักสูตรนั้นหลักสูตรนี้ อภิธรรมขั้นต่างๆ
ท่านอาจารย์: จะรู้ตัวเองนี่ จะต้องไปให้คนอื่นสอบหหรือ?
อ.ธีรพันธ์: ไม่ต้องครับ ไม่ต้องสอบด้วยครับ
ท่านอาจารย์: นั่นแหละ!! แล้วไปสอบทำไม สอบเพื่ออะไร? ต้องตรง
อ.ธีรพันธ์: ครับ
ท่านอาจารย์: เพื่อละ หรือเพื่ออะไร?
อ.ธีรพันธ์: เพื่อละ
ท่านอาจารย์: การศึกษาเพื่อละ แต่ไปสอบเพื่ออะไร?
อ.ธีรพันธ์: เพื่อได้ครับ
ท่านอาจารย์: ตรงกันข้าม เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.ธีรพันธ์: ครับ ท่านอาจารย์กล่าวไพเราะมากครับ ก็ครั้งพุทธกาลไม่มีการสอบเลย พระองค์ตรัส ผู้ฟังก็ฟัง ถาม
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จะรู้ไหมว่า ขณะไหนที่เป็นเหมือนสอบ ให้ตัวคนที่ถูกสอบได้รู้จักความจริง ไม่ใช่คนอื่นรู้
อ.ธีรพันธ์: ก็ขณะที่เข้าใจ หรือไม่เข้าใจ
ท่านอาจารย์: ขณะที่ถามนั้น รู้ว่า ผู้ตอบเข้าใจหรือเปล่า ไม่ต้องไปสอบอะไรที่ไหนเลย
ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงตรัสถามผู้ที่ไปเฝ้า ให้เขารู้ว่าเข้าใจหรือเปล่า เข้าใจแค่ไหน เข้าใจถูก หรือเข้าใจผิด
สอบเพื่อรู้ ไม่ใช่คนอื่นรู้ รู้ตัวเองนั่นแหละจะได้รู้
อ.ธีรพันธ์: ครับ ตัวเองจะได้รู้ กับเป็นการตรงอย่างยิ่งเลยครับ ตอบไป แต่ตัวเองตอบตามคำตามเรื่อง แต่ไม่รู้อะไรเลย ก็ชื่อว่าไม่รู้อยู่ดี ก็ได้แต่เรื่อง และได้ความสำคัญตนเพิ่มอีก นี่ครับ ไม่ใช่เป็นเรื่องละเลยครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ถ้าใครตอบว่า อายตนะขณะเห็นมีอะไรบ้าง เข้าใจแค่ไหน?
อ.ธีรพันธ์: ถ้าตอบตามชื่อก็ได้ แต่..
ท่านอาจารย์: แล้วเข้าใจหรือเปล่า? และเข้าใจแต่ละหนึ่งอายตนะหรือเปล่า?
อ.ธีรพันธ์: ครับ ไม่อย่างนั้นก็เป็นเรื่องแต่ละหนึ่ง สักหนึ่งเดียวก็ยังยากที่จะรู้ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ผู้นั้นแหละเป็นผู้รู้ได้ด้วยตัวเอง
อ.ธีรพันธ์: ครับ
ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..
จงมีใจดี และจงฟังสุภาษิตโดยเคารพ [รัตนสูตร]
เธอจงมีจิตไม่ฟุ้งซ่านตั้งใจฟัง [นิทานวรรค]
ขอเชิญรับฟังได้ที่..
จนกว่าจะใส่ใจตรงลักษณะที่กำลังปรากฏ
ใช้คำว่า สังเกต ใส่ใจในอารมณ์ แทน โยนิโสมนสิการ ได้หรือไม่
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.ธีรพันธ์ ด้วยความเคารพค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ



