กว่าจะดับสิ่งที่สะสมมาแสนโกฏกัปป์

[เล่มที่ 28] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม 4 ภาค 1 - หน้า 5 - 6
๓. อัชฌัตติกอนัตตสูตร
ว่าด้วยความเป็นอนัตตาแห่งอายตนะภายใน
[๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้น ท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา. หูเป็นอนัตตา จมูกเป็นอนัตตา ลิ้นเป็นอนัตตา กายเป็นอนัตตา ใจเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้น ท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ฯลฯ .
จบ อัชฌัตติกอนัตตสูตรที่ ๓
อ.วิชัย: ขอโอกาสเรียนสนทนากับท่านอาจารย์ครับซึ่งอย่างที่ได้ฟังการสนทนาท่านอาจารย์ กับ อ.อรรณพ ได้สนทนาเรื่องของ การเป็นผู้ฉลาดในขันธ์ ก็มีเรื่องของธาตุ มีเรื่องของอายตนะต่างๆ ครับ ซึ่ง ในบรรดาผู้ฉลาดทั้งหลายมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น ซึ่งเป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุดครับ
แต่ว่าการศึกษาพระธรรมอย่างในพระไตรปิฎกก็จะมีการแสดงใน สฬายตนวรรค ก็เป็นการแสดงเรื่องของอายตนะครับ ซึ่งบางครั้งเป็นการศึกษาข้อความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสครับ แต่ความเข้าใจก็ดูเหมือนยากที่จะรู้ครับ ขอโอกาสยกตัวอย่างในเรื่องของอย่างใน อัชฌัตติกอนัตตาสูตร ก็เป็นเรื่องของความเป็นอนัตตาของอายตนะภายในครับ พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้น ท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา. ซึ่งก็รวมถึงอายตนะภายในอื่นๆ อย่าง หู จมูก ลิ้น กาย ครับ ซึ่งก็ทราบว่า จากการศึกษาก็ต้องอาศัย คำ และ คำ ต่างๆ ก็กล่าวความละเอียดของธรรมะนั้นๆ อย่าง จักษุ ซึ่งก็รู้ว่า เดี๋ยวนี้มีเพราะเห็นเกิด แต่เห็นก็ไม่ใช่จักษุ แต่การเห็นเกิดเพราะอาศัยจักษุ แล้วก็การศึกษา พระอภิธรรม ก็แสดงว่า จักษุ คือตา เป็นรูปที่เกิดจากกรรม มีความใสกระทบกับรูปได้
ก็ดูเหมือนกับเป็นการศึกษาทั้งเรื่องด้วย เหมือนจะเข้าใจไหม ก็เข้าใจว่ามีเพราะกำลังเห็นครับ กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ การศึกษาที่จะเป็นการศึกษาธรรมะจริงๆ ที่ไม่ใช่เพียงเรื่องครับ ก็ดูเหมือนกับที่ผมพูดมาก็เป็นเรื่อง แต่ก็เป็นจริงครับ กราบเท้าท่านอาจารย์ในความละเอียดของการศึกษาที่จะเข้าใจตัวธรรมะครับ
ท่านอาจารย์: เข้าใจอย่างนี้แล้ว เดี๋ยวนี้เห็นไหม?
อ.วิชัย: เดี๋ยวนี้กำลังเห็นครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จะมีแต่เฉพาะเห็นอย่างเดียวได้ไหม?
อ.วิชัย: ไม่ได้แน่นอนครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องมีอะไรบ้าง?
อ.วิชัย: อย่างเห็นมี ต้องมีตาด้วย
ท่านอาจารย์: ขณะเห็น ต้องมีตาใช่ไหม?
อ.วิชัย: ใช่ครับ
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่มีตา จะเห็นได้ไหม?
อ.วิชัย: ถ้าไม่มีตาก็เห็นไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เห็น ต้องมีตาใช่ไหม?
อ.วิชัย: ใช่ครับ
ท่านอาจารย์: ถึงแม้ว่า จะมีหูก็ตามไม่เกี่ยวข้องกับเห็นใช่ไหม?
อ.วิชัย: ใช่ครับ ไม่เกี่ยวข้องกับเห็นครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ตา เป็นอายตนะหรือเปล่า? ต้องมีขณะนั้น เฉพาะตรงนั้นที่จิตเห็นเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กระทบตานั้น
อ.วิชัย: ต้องเป็นอายตนะแน่นอน เพราะมีอยู่ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ก็ละเอียดขึ้นจนถึงแต่ละ ๑ ขณะ ขณะเห็นก็เป็น ๑ ขณะไป มีอะไรบ้างที่เป็นอายตนะ
ขณะได้ยิน ไม่ใช่เห็นแล้ว ขณะได้ยินมีจริงๆ อะไรบ้างในขณะนั้น เฉพาะในขณะนั้นจริงๆ ต้องมีแน่นอน เป็นอายตนะ
เพราะฉะนั้น จักขุปสาทะเป็นอายตนะเมื่อไหร่? เฉพาะขณะที่เห็นเกิด
อ.วิชัย: ครับ
ท่านอาจารย์: ก็หมดสงสัยในคำว่า อายตนะ ใช่ไหม?
อ.วิชัย: ก็เข้าใจขึ้นในการที่จะไตร่ตรอง กราบเรียนท่านอาจารย์ คือแม้จะกล่าวได้อย่างนี้ แต่ว่าก็ยังไม่ได้รู้จักตัวตาจริงๆ ครับ
ท่านอาจารย์: แน่นอน!! เพราะฉะนั้น การที่จะรู้จักอะไร ไม่ใช่รู้จักทีเดียวหลายอย่างถูกต้องไหม รู้จักถูกต้อง ๑ อย่าง
เพราะฉะนั้น ทำไมเรากล่าวถึง อายตนะ เพื่อให้รู้ว่า ขณะนั้นมีอะไรที่สามารถจะรู้ได้ เพราะกำลังมีขณะนั้น
อ.วิชัย: ครับ ปกติก็ไม่ได้เข้าใจอย่างนี้ครับ ฟังแล้วก็เข้าใจขึ้น ก็ได้ไตร่ตรองคำที่ได้ยินได้ฟัง อย่างเห็นเป็นปกติแต่ก็ไม่ได้มีความเข้าใจ ก็ยังมีการยึดถือว่าเป็นเราอยู่ แต่พอฟังความละเอียดว่า เห็น อาศัยตาที่มีอยู่ขณะนั้น หรือแม้แต่ไม่ใช่เฉพาะตา แต่มีรูปที่ปรากฏให้เห็นด้วย
ท่านอาจารย์: เฉพาะรูปขณะนั้น
อ.วิชัย: ก็ละเอียดขึ้นอีกครับ แต่การที่จะรู้อย่างที่พระองค์ทรงแสดงเรื่องจักษุเป็นอนัตตา อย่างนี้ครับ ก็ดูเหมือนกับไกลไปไหมครับ
ท่านอาจารย์: ไม่ใช่ค่ะ หมายความว่าทุกอย่างลึกซึ้ง เราพูดถึงอะไรก็ให้รู้ความลึกซึ้งของสิ่งนั้นเพื่อละความติดข้องด้วยความเข้าใจความลึกซึ้ง ถ้าไม่เข้าใจความลึกซึ้ง ไม่มีทางละความติดข้องเลย
อ.วิชัย: ถ้าไม่เข้าใจความลึกซึ้ง ก็ไม่ละความติดข้องในสิ่งนั้น
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น แต่ละ ๑ ธรรมะลึกซึ้ง ให้เห็นจริงๆ ว่าลึกซึ้ง
อ.วิชัย: ครับ ยิ่งฟังก็ยิ่งก็ยิ่งรู้ว่า ยังขั้นฟังอยู่ครับ ยังสะสมความเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ ค่อยๆ เพิ่มขึ้นครับโดยที่ธรรมะจริงๆ ยังไม่ได้ปรากฏ ก็ไม่ได้ไปหวังที่จะรู้ครับ
ท่านอาจารย์: ขณะนั้นเป็นปัญญาที่รู้ ไม่ใช่คุณวิชัย
อ.วิชัย: เป็นปัญญาที่รู้ครับ ก็มั่นคงขึ้นอีกในความเป็นธรรมเพิ่มขึ้นครับ
ท่านอาจารย์: นี่เป็นหนทางละที่ละเอียดแสนที่ละเอียด และลึกซึ้งยิ่งขึ้นเมื่อมีปัญญา จะยิ่งละเอียดกว่านี้ ลึกซึ้งกว่านี้มาก กว่าจะดับสิ่งที่สะสมมาแสนโกฏกัปป์ เกิดอีกไม่ได้เลยในชีวิตประจำวันเดี๋ยวนี้
อ.วิชัย: ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่มีโอกาสได้ทั้งฟังทั้งสนทนา และได้ไตร่ตรอง คำ ที่กล่าวความเป็นจริงครับ
ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..
ความเป็นอนัตตาแห่งอายตนะภายใน [อัชฌัตติกอนัตตสูตร]
ขอเชิญฟังเพิ่มได้ที่..
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.วิชัย ด้วยความเคารพค่ะ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้น ท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา (อัชฌัตติกอนัตตสูตร)
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ


