ทุกคำที่ได้ฟังเพื่อเข้าถึงความเป็นธรรมะ

[เล่มที่ 65] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 69
ก็ในที่นี้ควรด้วยอรรถทั้ง ๓ คือด้วยอรรถว่าเป็นแดนเกิด ด้วย อรรถว่าเป็นที่ประชุม ด้วยอรรถว่าเป็นเหตุ.
จิตนี้เป็นอายตนะ แม้ด้วยอรรถว่าเป็นแดนเกิด ในประโยคว่า ก็ ธรรมทั้งหลายมีผัสสะเป็นต้น ย่อมเกิดในจิตนี้ ดังนี้. เป็นอายตนะ แม้ด้วย อรรถว่า เป็นที่ประชุมลง ได้ในประโยคว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ภายนอก ย่อมประชุมลงในจิตนี้ โดยความเป็นอารมณ์. ก็จิตบัณฑิตพึง ทราบว่า อายตนะ เพราะอรรถว่าเป็นเหตุ เพราะความที่เจตสิกธรรม ทั้งหลายมี ผัสสะ เป็นต้นเป็นเหตุ เพราะอรรถว่าเป็นปัจจัย มีสหชาตปัจจัยเป็นต้น.
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 294
๑๐. โลกสูตร
[๑๙๖] เทวดาทูลถามว่า
เมื่ออะไรเกิดขึ้น โลกจึงเกิดขึ้น โลกย่อมชมเชยในอะไร โลกยึดถือซึ่งอะไร โลกย่อมเดือดร้อนเพราะอะไร.
[๑๙๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
เมื่ออายตนะ ๖ เกิดขึ้น โลกจึงเกิดขึ้น โลกย่อมทำความชมเชยในอายตนะ ๖ โลกยึดถืออายตนะ ๖ นั่นแหละ โลกย่อมเดือดร้อนเพราะอายตนะ ๖
จบโลกสูตร
จบอันธวรรคที่ ๗
อ.คำปั่น: ท่านอาจารย์ครับ ได้ฟังวันนี้ก็เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่งครับ เพราะว่า ในการเริ่มฟังพระธรรมใหม่ๆ ก็จะมุ่งไปที่ความหมายของคำเป็นหลักเลยครับว่า ขันธ์คืออะไร ธาตุคืออะไร และอายตนะคืออะไร อย่างนี้ครับ เ พราะว่าการศึกษาก็ต้องอาศัยคำ อาศัยชื่อ ซึ่งแน่นอนครับว่า ถ้าเพียงจำคำ จำชื่อ ก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรเลย
แต่เมื่อสักครู่ได้ฟังที่ท่านอาจารย์ได้สนทนากับ อ.อรรณพ เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่งครับ และก็เช่นเดียวกันที่กระผมได้ศึกษาธรรมใหม่ๆ ก็เห็นถึงความละเอียดของท่านอาจารย์ เป็นผู้ที่มีความเข้าใจที่ลึกวึ้งที่จะมีคำอธิบายที่กระชับ และรัดกุม ซึ่งตรงกับข้อความใน พระไตรปิฎก และอรรถกถา โดยตลอดเลยครับ อย่างความหมายของ อายตนะ ก็เช่นกันเลยครับ
กระผมซาบซึ้งในความเกื้อกูลของท่านอาจารย์ ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงในความเป็นจริงในความหมายว่า สภาพธรรมที่ประชุมกันในขณะที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์แต่ละขณะๆ ๆ ประมาณนี้ครับท่านอาจารย์ เพราะว่า เวลาที่ได้ศึกษาอายตนะ ก็จะเรียงตามประเภทเลย ตา ก็เป็นอายตนะ สี ก็เป็นอายตนะ จิตเห็น ก็เป็นอายตนะ แต่ก็ไม่ได้เข้าใจในความเป็นอายตนะเลยครับ
แต่พอได้มาฟังในความหมายว่า สภาพธรรมะที่ประชุมกัน คือยังมีอยู่ในขณะที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทีละขณะ ครับ ก็เห็นถึงความชัดเจนในความหมาย และก็ในความเป็นจริงของธรรมนั้นด้วยครับ
นี่คือจุดเริ่มต้นที่จะได้เริ่มไตร่ตรองพิจารณาความหมายของพยัญชนะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ที่จะอุปการะเกื้อกูลให้ได้ความเข้าใจในความเป็นจริงของธรรมะ ซึ่งเป็นธรรมะ แต่ละหนึ่งๆ จริงๆ ครับ กราบเท้าท่านอาจารย์ครับว่า เพราะเหตุใด เวลาที่ได้ฟังแม้ได้ฟังเรื่องอายตนะอย่างนี้ครับ คือจะมุ่งไปที่ความหมายเป็นหลักเลย แต่ว่าไม่ได้น้อมมาเพื่อความเข้าใจในความเป็นธรรมะแต่ละหนึ่งเลย ในขณะที่กำลังเป็นอายตนะครับ
ท่านอาจารย์: พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะเป็นภาษาไทยหรือเปล่า?
อ.คำปั่น: เป็นภาษามคธีครับ
ท่านอาจารย์: เป็นธรรมดาของผู้ที่ใช้ภาษานั้นจึงจะเข้าใจได้ใช่ไหม?
อ.คำปั่น: ใช่ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เมื่อเราเข้าใจคำนั้นในภาษาไทย เราต้องไปจำคำนั้นในภาษาอื่นที่เราไม่ได้พูด และก็พูดตามไหม?
อ.คำปั่น: ไม่ครับ
ท่านอาจารย์: เห็นไหมว่า เราเข้าใจในภาษาไทย เราพูดถึง อายตนะ ในภาษาไทย เรารู้ว่า คำนี้ในภาษาอื่นคือภาษามคธีคือคำว่า อายตนะ เท่านั้นใช่ไหม?
อ.คำปั่น: ครับ
ท่านอาจารย์: แต่เราเหมือนกับว่าไปติดคำว่า อายตนะ แล้วต้องเป็นอายตนะ ก็ทำไมไม่พูดว่า เป็นสิ่งที่เกิดขณะนั้น และก็มีขณะนั้นใน ๑ ขณะขาดไม่ได้เลย เห็นไหมอันนี้ คือความเข้าใจความหมายของคำว่า อายตนะ แต่ถ้าเพียงพูดว่า อายตนะมีอะไรใน ๔ อย่าง ง่ายไหม? ไม่ยากที่จะจำเลยใช่ไหม?
อ.คำปั่น: ใช่ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่า ทุกคำที่ได้ฟังเพื่อเข้าถึงความเป็นธรรม สิ่งที่มีจริง ซึ่งแล้วแต่ว่า จะใช้ภาษาไหนก็ได้
เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้เมื่อเข้าใจคำว่า อายตนะ ขณะนี้เองที่เห็น จะมีอะไร? เราเรียนเรื่องรูปเยอะเยะ แต่ โสตปสาทะจะมาเกี่ยวข้องกับเห็นไหม? ไม่ใช่เลย
เพราะฉะนั้น จึงแสดงสิ่งที่ต้องมีขณะนั้นจึงสามารถที่จะเห็น และมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้ได้
เพราะฉะนั้น ก็ไม่ขัดข้องในความหมายของคำว่า อายตนะ สิ่งที่ต้องมีขณะนั้น
กำลังหลับสนิท มีอายตนะไหม? เห็นไหม?
เพราะฉะนั้น ความเข้าใจของเราต้องทั่วไปหมด ไม่ว่าในสถานะใดๆ เหตุการณ์ใดๆ ไม่ใช่ว่ารู้ตรงเห็นก็เข้าใจเห็น แต่ว่า เข้าใจแค่ไหนล่ะ?
กำลังหลับสนิท มีอายตนะไหม? พิสูจน์ล่ะ เข้าใจอะไรแค่ไหน ไม่ใช่ไปเข้าใจเพียงส่วนที่ได้ฟัง แต่ส่วนที่ได้ฟังแต่ละหนึ่งต้องเข้าใจความเป็นจริงด้วย เพราะฉะนั้น จะตอบว่าอย่างไรจึงจะเป็นความเข้าใจที่มั่นคงไม่เสื่อมไม่หมดไปตามกาลเวลาที่พอจำไปสักครู่หนึ่ง เสร็จแล้วก็ลืม แล้วแต่ว่าจะนานมากน้อยแค่ไหน เพราะว่าจำไม่ยากเลย ๔ ใช่ไหม? จักขุปสาทะ รูปารมณ์ แล้วก็จักขุวิญญาณ มนายตนะ แล้วก็ธรรมายตนะ เจตสิกเกิดร่วมด้วย
เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ไปเจาะจง ธรรมายตนะ ต้องเป็นอะไรขณะนั้น แต่หมายความว่า ขณะนั้นเจตสิกที่เกิดกับจิตที่กำลังเห็นขณะนั้น ได้แก่ธรรมายตนะ คือเจตสิกอะไร เพราะฉะนั้น กำลังนอนหลับ ไม่พูดถึงอย่างนั้นนะ เข้าใจแล้วใช่ไหม ถ้าเข้าใจแล้วได้ยินก็เข้าใจได้ใช่ไหม
ทีนี้ก็ถามถึงตอนที่หลับสนิทเป็นอายตนะหรือเปล่า?
อ.คำปั่น: ขณะที่หลับสนิทก็ยังมีจิตเกิดขึ้น ก็ต้องมีอายตนะ มีอายตนะด้วยครับ
ท่านอาจารย์: อะไรเป็นอายตนะ ขณะหลับสนิท?
อ.คำปั่น: ขณะหลับสนิทมีจิตเกิดขึ้นเป็นไป จิตก็เป็นมนายตนะ ภวังคจิตขณะนั้นเป็นมนายตนะ และก็เจตสิกธรรมที่เกิดร่วมกับจิตก็เป็นธรรมายตนะครับ
ท่านอาจารย์: ก็แสดงความเข้าใจที่มั่นคงใช่ไหม ไม่ใช่ไปติดที่คำว่า อายตนะ และก็ไปรู้ตัวอย่างแค่ขณะเห็น ขณะได้ยิน เป็นต้น แต่ขณะนี้ ๑ ขณะนั้นมีอะไรที่ต้องมีในขณะนั้นขาดไม่ได้
ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..
ขอเชิญคลิกฟังได้ที่..
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ด้วยความเคารพค่ะ


