อายตนะ


    ผู้ฟัง ขอคำอธิบายของคำว่า “อายตนะ”

    อ.วิชัย “อายตนะ” หมายถึงเป็นเหตุเป็นที่ประชุมให้เกิดวิญญาณ เพราะเหตุว่ามีอายตนะ เช่น จักขวายตนะ ได้แก่จักษุ รูปายตนะได้แก่สิ่งที่ปรากฏทางตา เมื่อมีการประชุมกันให้เกิดมนายตนะคือจิตที่เกิดขึ้น เช่น จิตเห็น ฉะนั้น อายตนะก็คือที่ประชุมหรือบ่อเกิดให้เกิดวิญญาณ คือ จิต

    ท่านอาจารย์ ปรมัตถธรรมมี ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน สำหรับนิพพานไม่มีการเกิด เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีการปรากฏในขณะนี้ก็มีจิต เจตสิก รูป ต่างคนต่างอยู่ไม่เจอกัน หรือว่าจะต้องอยู่ที่นี่ด้วยกันเป็นเหตุเป็นปัจจัย เช่น จิตหนึ่งขณะที่เกิด เกิดมาลอยๆ เป็นปรมัตถธรรมอย่างหนึ่ง หรือว่าต้องมีสภาพธรรมอื่นประชุมคืออยู่ที่นั่น หรือว่าเกิดด้วยกันเกิดพร้อมกัน นี่คือความหมายของอายตนะ ขณะที่กำลังหลับสนิท ขณะนั้นมีอายตนะไหม ขณะที่กำลังหลับสนิทเป็นธรรมหรือไม่

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ แล้วขณะนั้นเป็นจิตหรือไม่

    ผู้ฟัง เป็นจิต

    ท่านอาจารย์ เป็นจิตใช่ไหม ขณะที่หลับสนิท มีจิตอย่างเดียวหรือว่ามีอย่างอื่นด้วย

    ผู้ฟัง ถ้ามีจิตก็ต้องมีเจตสิกด้วย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอะไรที่เป็นอายตนะ มีไหมขณะนั้น ที่อยู่ที่นั่น ที่เกิดด้วยกัน ที่ประชุมอยู่ด้วยกันไม่ได้แยกจากกันเลย

    ผู้ฟัง ก็ต้องมีจิตกับเจตสิก

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นมนายตนะ เจตสิกเป็นธัมมายตนะ เพราะฉะนั้นก็จะแยกให้เห็นก่อนที่จะรู้อารมณ์ทางทวารต่างๆ จริงๆ แล้วที่ใดที่มีจิตที่นั่นก็ต้องมีเจตสิกด้วย แต่สภาพของภวังคจิตหรือปฏิสนธิจิตไม่ได้อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือใจที่จะคิดนึก เพราะฉะนั้นขณะนั้นก็เป็นเพียงแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับอยู่ตลอดเวลาโดยที่ยังไม่ได้รู้อารมณ์อื่นใด เพราะฉะนั้นอายตนะขณะนั้นก็มีเพียงมนายตนะกับธัมมายตนะ ซึ่งเมื่อไม่ปรากฏก็ไม่จำเป็นต้องไปคิดถึงหรือไปรู้ แต่ถ้าจะเข้าใจความหมายของคำว่าอายตนะจริงๆ ก็หมายถึงธรรมที่ประชุมกันที่ต้องมีอยู่ในที่นั้น เช่น จิตกับเจตสิกจะขาดไม่ได้เลย แยกกันไม่ได้เลย และจิตก็เป็นที่เกิดของเจตสิกด้วยต้องเกิดกับจิต หรือจะกล่าวว่าจะเกิดในจิตก็ได้

    แต่เวลาที่จะมีการเห็นต้องมีอายตนะเพิ่มขึ้นแล้ว ต้องมีปสาทรูปที่เกิด ถ้าปสาทรูปไม่เกิดจิตเห็นขณะนี้เห็นไม่ได้เลย และก็ไม่ใช่มีเพียงแต่ปสาทรูปเท่านั้นที่เกิด แม้สิ่งที่สามารถกระทบกับจักขุปสาทก็ต้องเกิดด้วย เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าขณะนี้ที่กำลังเห็นก็เป็นเพียงจิตที่สามารถเห็นสิ่งที่ปรากฏโดยอาศัยตาเพราะว่ากระทบกับตา และสิ่งที่ปรากฏขณะนั้นก็ยังไม่ได้ดับไป ปสาทรูปต้องมียังไม่ดับ รูปารมณ์หรือรูปที่สามารถกระทบจักขุปสาทรูปก็ยังไม่ดับ แล้วเวลาที่มีจิตเห็น เช่น ขณะนี้จิตเห็นก็ยังต้องมีจิต และเจตสิกด้วย เพราะฉะนั้นขณะนั้นก็มีตาเป็นจักขวายตนะ และมีรูปเป็นรูปายตนะ และมีจิตเห็นเป็นมนายตนะ และต้องมีเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยเป็นธัมมายตนะ

    ก็แสดงว่าวันหนึ่งๆ ที่สภาพธรรมปรากฏจะต้องมีอายตนะคือการประชุมกันของสภาพธรรมใดบ้าง และนอกจากนั้น ที่เป็นที่ต่อเป็นเหตุเป็นบ่อเกิดเป็นที่ประชุมแล้ว สังสารวัฎฏ์ก็สืบต่อไปอีกจากขณะที่มีการประชุมกันแล้ว และก็มีสภาพรู้สิ่งนั้นเกิดแล้วก็ดับไป ก็จะมีสภาพธรรมอื่นเกิดสืบต่อไม่สิ้นสุดจนกว่าจะถึงจุติจิตของพระอรหันต์ นี่คือสิ่งที่เราไม่เคยรู้ แต่ว่าต้องรู้ และก็ไม่ใช่รู้โดยเพียงขั้นฟัง แต่ว่าจะรู้โดยขณะที่สภาพธรรมนั้นปรากฏ และความรู้นั้นเจริญขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจ และละคลายความเป็นเราได้ แต่ไม่ต้องอาศัยชื่อ ไม่ต้องไปนั่งเรียกชื่อเลย ธรรมจะมีชื่อสำหรับให้เข้าใจว่าหมายความถึงสภาพอะไร แต่เวลาที่เป็นสภาพธรรมนั้นจริงๆ ไม่มีชื่อ เช่น "แข็ง" ต้องเรียกชื่อไหม ไม่ "เห็น"ก็ไม่ต้องเรียกชื่อ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมทุกอย่างก็ไม่มีชื่อ แต่ต้องใช้ชื่อสำหรับเรียกเพื่อให้เข้าใจ

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 81


    หมายเลข 7127
    22 ม.ค. 2567