โคจระของปัญญาเป็นอารมณ์ของพระบิดา

[เล่มที่ 66] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม 5 ภาค 2 - หน้าที่ 575
โคจรเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่เป็นผู้มีหญิงแพศยาเป็น โคจร ไม่เป็นผู้มีหญิงหม้ายเป็นโคจร ไม่เป็นผู้มีสาวเทื้อเป็นโคจร ไม่ เป็นผู้มีบัณเฑาะก์เป็นโคจร ไม่เป็นผู้มีภิกษุณีเป็นโคจร ไม่เป็นผู้มีโรง สุราเป็นโคจร ไม่อยู่คลุกคลีด้วยพวกพระราชา พวกมหาอำมาตย์ของ พระราชา พวกเดียรถีย์ พวกสาวกของเดียรถีย์ ด้วยความคลุกคลีกับ คฤหัสถ์อันไม่สมควร.
[เล่มที่ 66] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม 5 ภาค 2 - หน้าที่ 576 - 577
แม้สติปัฏฐาน ๔ ก็ชื่อว่าโคจร สมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเที่ยวไปในแดนเป็นของ บิดาของตนซึ่งเป็นโคจร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายเที่ยวไป ในแดนเป็นของบิดาของตนซึ่งเป็นโคจร มารย่อมไม่ได้ช่อง ไม่ได้ อารมณ์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แดนเป็นของบิดาของคนซึ่งเป็นโคจรของ ภิกษุคืออะไร คือสติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน? ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกาย มี ความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกอยู่ เป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย เป็นผู้พิจารณาเห็นจิตในจิต เป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มี สติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า แดนเป็นของบิดาของตนซึ่งเป็นโคจรของภิกษุ แม้เช่นนี้ก็เรียกว่าโคจร ภิกษุพึงเป็นผู้ประกอบด้วยโคจรเช่นนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พึงเป็น ผู้มีโคจรในศาสนานี้อย่างไร.
อ.อรรณพ: กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ เป็นประโยชน์อย่างมากเพราะว่า จาก แต่ละคำ ก็ทำให้มีความเข้าใจความเป็นไปของธรรมะที่ละเอียด แล้วก็เป็นระดับที่ต่างกัน ไม่ว่าจะคำว่า อารัมมณะ ซึ่งเป็นอารมณ์ทั่วไปหมด ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นอารมณ์ของจิตโดยกว้างๆ แล้วก็ โคจระ ก็มีกลากหลายนัยยะ นะครับ แต่นัยยะที่ท่านอาจารย์ และคณะอาจารย์ ๒- ภ ท่านได้สนทนาไป ก็ทำให้เป็นประโยชน์ครับ
ตั้งแต่ท่านอาจารย์ก็กล่าวถึง โคจระ ของภิกษุก็ต่างกับโคจระของคฤหัสถ์ ภิกษุจะเที่ยวไปดูหนังฟังเพลงก็ไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นนัยยะที่กล่าวถึงโคจระของภิกษุ อย่างนี้ครับ แต่ก็สอดคล้องกับความหมายหลักว่า โคจระ ก็คืออารมณ์เฉพาะ เพราะฉะนั้น อารมณ์เฉพาะของภิกษุจะไปเหมือนอารมณ์ของเฉพาะของชาวบ้านจะดูหนังฟังเพลงก็ไม่ได้
แต่ในความละเอียดที่เป็นพระอภิธรรมนี่ก็น่าฟัง ที่ท่านอาจารย์ถาม อ.พีท ตั้งแต่แรกว่า ปฏิสนธิจิตมีอารัมมณะ หรือโคจระ? ผมก็ฟังดู ท่านอาจารย์ถามต้องไตร่ตรองทีเดียว เพราะปฏิสนธิจิตเขาก็มีหลากหลายเป็นชื่อจิตโดยกิจของจิต ถ้าเราไม่ได้กล่าวถึงเป็นกิจใดกิจหนึ่งรวมแล้วก็เป็นจิตที่ทำปฏิสนธิ เขาก็มีอารมณ์ได้หลากหลายมากเลยครับ ไม่ได้มีอารมณ์เฉพาะเท่านั้น แม้ปัญจทวาราวัชชนจิตก็รู้อารมณ์ได้ ๕ อารมณ์ สัมปฏิจฉันนจิตก็รู้อารมณ์ได้ ๕ อารมณ์ไม่เฉพาะ
แต่ว่า จิตเห็นนี่ต้องรู้สิ่งที่ประทบตาเท่านั้นจริงๆ เพราะฉะนั้น สิ่งที่กระทบตาเป็นโคจรของจักขุวิญญาณะ คือจิตที่รู้แจ้ง สี โดยเกิดที่ตา ก็ต้องมีโคจร คืออารมณ์เฉพาะของเขา โดยอาศัยตาซึ่งเป็นจักขุนทรีย์เป็นทวาร และเป็นที่เกิด
จิตได้ยิน ก็นัยยะเดียวกัน เขาก็มีโคจรของเขา คือเสียง
เพราะฉะนั้น ทั้ง ๕ อย่างเขาก็มีโคจรของเขา และไม่ระคนกัน จิตเห็นจะมารู้เสียงก็ไม่ได้ เพราะว่า เสียง ไม่ได้เป็นโคจร คือไม่ได้เป็นอารมณ์เฉพาะของจิตเห็น
จิตได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ก็นัยยะเดียวกัน ซึ่งท่านอาจารย์ก็พูดกับอาจารย์วิชัย ๒ - ๓ ครั้งว่า สิ่งที่เราเรียนมาใช่ไหม สิ่งที่เราเรียนมาวิถีจิตอารมณ์อะไร จิตแต่ละอย่างๆ แต่แม้คำว่า อารัมมณะ และโคจระโดยนัยยะที่เป็นอารมณ์เฉพาะ จิตที่มีอารมณ์เฉพาะอย่างนี้ครับ
เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจอย่างนี้เวลาที่ท่านแสดง จิต เป็นวิญญาณธาตุ ๗ ก็ชัดเลยว่า วิญญาณธาตุ ๕ เขาก็มีอารมณ์เฉพาะของเขาครับ แต่ถ้าเป็น มโนธาตุ เขาก็มีอารมณ์ได้ ๕ อารมณ์ ถ้าเป็น มโนวิญญาณธาตุ ก็มีอารมณ์หลากหลาย
และเมื่อสักครู่ พูดถึงใจ ก็สามารถที่จะรู้อารมณ์ทางตาที่สืบต่อมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เป็นอารมณ์ ไม่เฉพาะกับอารมณ์ใด
กราบ้ท้าท่านอาจารย์ แม้เพียงคำว่า อารัมมณะ และโคจระ ก็เห็นถึงความสอดคล้องถึงกันหมดในพระธรรมที่ได้ฟังมาได้เข้าใจขึ้นครับ ทีนี้ผมกราบเท้าถามท่านอาจารย์ในนัยยะที่เป็นประโยชน์ว่า ในเมื่อโคจระนี่ ความหมายที่แน่นอนไม่ว่าโดยนัยยะไหนทั้งสิ้น โคจระ ก็คืออารมณ์เฉพาะ เมื่อสักครู่เรากล่าวถึงอารมณ์เฉพาะของภิกษุอารมณ์ของคฤหัสถ์ก็ได้กว้างๆ หรืออารมณ์เฉพาะของจิตถ้าเป็นทวิปัญจวิญญาณ ก็มีอารมณ์เฉพาะของเขาไม่ระคนนะครับ ส่วนใจก็รู้ได้ทุกอารมณ์
ทีนี้กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ โคจระ คืออารมณ์เฉพาะที่จะเป็นอารมณ์เฉพาะกับการอบรมเจริญปัญญาครับ ได้โปรดแสดง โคจระที่จะเป็นอารมณ์เฉพาะที่เป็นประโยชน์ต่อการอบรมเจริญปัญญา ครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: ความเข้าใจพื้นฐานมีละเอียดพอแล้วไม่เปลี่ยนแปลงนะคะ
อ.อรรณพ: ไม่เปลี่ยนครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ในบรรดาอารมณ์ โคจระของปัญญาเป็นอารมณ์ของพระบิดา ที่ควรจะสะสมเป็นอุปนิสสยะมากจนกระทั่งมีกำลังที่สามารถที่จะระลึกรู้จนประจักษ์แจ้งได้ ควรจะเป็นอารมณ์แค่ สีสันวรรณะ เรื่องราวต่างๆ โน่น นี่ นั่น หรือว่าเฉพาะลักษณะที่สามารถจะรู้ได้ในความเป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้น อุปนิสสยโคจระ ไม่เคยรู้มาเลย ปัญญาเขาไม่ได้รู้อื่นเขารู้สิ่งที่ปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้เพราะกำลังมีจริงๆ และรู้ลักษณะของจักขุวิญญาณที่กำลังเห็นด้วยเพราะมีจริง
เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะได้ฟังความจริง ไม่เคยมีอารมณ์เหล่านี้เลย ไม่เคยฟังว่าปัญญารู้อะไร แต่พอฟังแล้ว ปัญญา ไม่ได้รู้อื่นรู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทั้งหมดเป็นโคจระของปัญญาที่จะถึงความจริงทีละเล็กทีละน้อยจนประจักษ์แจ้ง ถ้าไม่มีอุปนิสัยการฟังอริยสัจจะ ความเข้าใจธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจนมั่นคงว่า การรู้ความจริงไม่ได้ให้รู้อย่างอื่น แต่รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ที่เกิดแล้วปรากฏเดี๋ยวนี้ และถ้าไม่ฟังอย่างนี้ ไปนั่งทำอะไรกัน ไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ควรสะสม คือความเข้าใจถูกในสภาพที่เป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏ ทั้งสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย รวมทั้งธาตุรู้ซึ่งขณะนี้ถ้าไม่มีธาตุรู้จะไม่มีสิ่งใดปรากฏเลยทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ปัญญาไม่ได้ไปประดิษฐ์อะไรขึ้นมารู้ แต่ว่าสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ที่ไม่เคยรู้ เริ่มเป็นอารมณ์ของการที่จะฟังว่า นี่แหละ เป็นสิ่งที่เป็นสิ่งซึ่งจะให้ความจริงได้ โดยรู้ว่า ขณะนั้นอะไรเป็นปัจจัยให้สามารถที่จะเป็นอย่างนั้นได้ที่จะเข้าใจสิ่งนั้นได้ ต้องมีการฟัง ฟังแล้วไม่พอ สติสัมปชัญญะรอบที่ ๒ ปรากฏเกิดขึ้นรู้ ขณะนั้นไม่ได้รู้อื่นเลย รู้เห็นเดี๋ยวนี้ รู้สิ่งที่ปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้ รู้ความคิดเดี๋ยวนี้ หรือรู้อะไรเดี๋ยวนี้ทั้งหมดที่ไม่เคยรู้มาก่อน ควรปลูกฝังความเห็นถูก ปัญญา ในสิ่งที่มี อารัมมณะที่เคยเป็นอารัมมณะทั่วๆ ไป ไม่มีปัญญาเลย แต่เมื่อเป็นอารมณ์ของปัญญาที่จะต้องค่อยๆ รู้ขึ้น จึงเป็นโคจระซึ่งควรจะสะสมเป็นนิสัยที่จะเข้าใจความจริงของธรรมะที่ปรากฏ อารมณ์นั้นเองเป็นโคจระ ถ้าไม่เข้าใจก็เป็นอารัมมณะธรรมดา
แต่จะเอาปัญญาจากไหน? ก็ต้องจากสิ่งที่ปรากฏ จึงมีอุปนิสัยที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ โดยอารมณ์นั้นแหละทำให้มีความเข้าใจเกิดขึ้นตามความเป็นจริงเมื่อเข้าใจความจริงของอารมณ์นั้น ถ้าไม่มีอารมณ์ปรากฏเลย จะไปเข้าใจอะไร?
เพราะฉะนั้น อารัมมณะทั่วๆ ไป แต่ว่ามีความเข้าใจถูกว่า ความเป็นจริงของอารมณ์นั้นคืออะไร? การที่เข้าใจความจริงของอารมณ์นั้นแหละเป็นอุปนิสัยที่สะสมจนกว่าจะประจักษ์แจ้งความจริง อารมณ์ทั่วๆ ไปแต่ว่าปัญญารู้ว่า อารมณ์นั้นสามารถเป็นที่ตั้งของความเข้าใจถูกได้ จนกระทั่งประจักษ์แจ้งความจริงได้ แต่ว่าไม่ใช่เดี๋ยวนี้ จึงต้องค่อยๆ สะสมความสนใจ ความเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏทีละเล็กทีละน้อยจนมั่นคง จนกระทั่งสามารถที่จะรู้จริงตามลำดับขั้นได้
แต่ถ้าไม่มีอุปนิสสยโคจระ ไม่ฟังเลยว่า รู้อะไร ไปนั่งทำ รู้อะไร?? แต่ว่าสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ไม่รู้ นั่นก็ไม่ใช่ความเข้าใจที่ถูกต้อง
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ถ้าเข้าใจผิดก็ไม่ใช่อุปนิสสยโคจระ จะไปสะสมไว้ทำไมความเข้าใจผิด เพราะว่าถึงไม่สะสมก็มีอยู่แล้วเป็นประจำทุกครั้งที่เกิดขึ้นก็สะสมของตนเองไปด้วยความไม่รู้
เพราะฉะนั้น อุปนิสสยโคจระ อารมณ์เดิมเดี๋ยวนี้แหละปรากฏ แต่เป็นอารมณ์ที่จะต้อง เข้าใจขึ้นๆ จนเป็นอุปนิสัยที่จะรู้ว่า ความเข้าใจไม่ใช่รู้อารมณ์อื่น แต่อารมณ์นี้ที่กำลังปรากฏ
อ.อรรณพ: ต้องกราบ กราบ กราบ กราบ ๓ ครั้ง กราบที่ท่านอาจารย์แสดงถึงโคจระทั้ง ๓ แล้วก็การที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงทั้ง ๓ รอบ สัจจญาณ กิจญาณ กตญาณ แล้วที่ท่านอาจารย์กล่าวมาเป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ คำกล่าวที่ท่านอาจารย์กล่าวมา ๒ - ๓ นาที เป็นโคจระของปัญญาของผู้ที่ฟังเข้าใจไตร่ตรอง ก็กราบเท้าท่านอาจารย์ที่ให้โคจระของปัญญาที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวมา ชัดเจน ไพเราะ ละเอียดขึ้น เพราะมีพื้นฐานจากความเข้าใจความต่างกันของ ๒ คำ คืออารมมณะ และโคจระ
และเป็นเครื่องเตือนใจต่อไปว่า ถ้าไปฟังคำอื่นของบุคคลอื่น ให้ไปทำให้ไปจดให้ไปจ้อง คำนั้นไม่เป็นโคจระของปัญญา ไม่เป็นอุปนิสสยโคจระที่จะสะสมบ่มอุปนิสัยบ่มปัญญาเลย อันนั้นแน่นอนไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทีนี้แม้จะเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ผู้ได้ยินนั้นไม่ได้เข้าใจก็ไม่เป็นโคจระของปัญญา เพราะว่าไม่เข้าใจ ผมก็คิดพิจารณาว่า แม้มีบุคคล ๒ บุคคลนั่งอยู่แม้ได้ยินพระสุรเสียงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนที่อยู่ตรงนั้นก็ได้ยิน สัตว์ที่อยู่ตรงนั้นก็ได้ยิน ถ้าเป็นมนุษญืที่เข้าใจภาษาก็รู้ความหมายของภาษา แต่ว่าไม่เข้าใจในอรรถะ น่าสลดใจที่เสียงนั้น หรือข้อความนั้นบัญญัตินั้น ก็ไม่ได้เป็นโคจระ คือไม่ได้เป็นอารมณ์เฉพาะกับผู้นั้นที่จะเจริญปัญญาขึ้นเลยครับ
กราบเท้าท่านอาจารย์ จงฟัง จงใส่ใจให้ดี เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะเห็นความไพเราะ และความเป็นจริง และแต่ละคำที่จะเกื้อกูลให้ปัญญาเจริญขึ้นครับ กราบเท้าครับ
ท่านอาจารย์: บางแห่งก็จะใช้คำว่า อารมณ์ของบิดา อุปนิสสยโจจระ ทรงบำเพ็ญมาจนสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงด้วยการอบรมอย่างไรที่เป็นอุปนิสัยจนมีกำลัง
เพราะฉะนั้น พระองค์ก็ทรงแสดงหนทาง อารมณ์ทั่วๆ ไปนี่แหละ แต่ไม่มีความเข้าใจเลยก็ไม่มีอุปนิสัยที่จะไตร่ตรองความจริงของสิ่งที่ปรากฏ แล้วจะเกิดปัญญาได้อย่างไร? ด้วยเหตุนี้ แม้แต่การฟังเรื่องโคจระ ก็เป็นการที่จะสะสมอุปนิสัยที่จะเห็นความสำคัญว่า ปัญญาไม่ได้รู้อื่นเลย รู้สิ่งที่เป็นอารมณ์ทั่วๆ ไปซึ่งไม่ใช่อารมณ์ของปัญญา แต่เมื่อเป็นปัญญาที่สามารถจะเข้าถึงความมั่นคงในการที่จะประจักษ์แจ้งได้ ก็เป็นอุปนิสสยะเพราะค่อยๆ สะสมไปจนกว่าถึงกาละที่สามารถประจักษ์แจ้งความจริงได้ตามลำดับขั้น
อ.อรรณพ: ยิ่งเห็นพระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงประทานอารมณ์ของบิดา หรือโคจระของปัญญา คือทำให้ผู้ที่เป็นสาวกคือผู้ที่ฟัง ฟังอะไรก็ฟัง คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ของบิดา คือเป็นอารมณ์เฉพาะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อที่จะมีสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏอย่างนี้แหละ ที่เคยปรากฏกับความไม่รู้ ก็ปรากฏกับความรู้สติปัญญาครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ แข็ง ที่กำลังปรากฏเป็นอารัมมณะ หรือเป็นโคจระ?
อ.อรรณพ: ขณะนี้ ถ้าไม่ได้เป็นอารมณ์เฉพาะกับสติที่ระลึกตรงลักษณะของแข็ง ก็เป็นเพียงอารัมมณะเท่านั้น
ท่านอาจารย์: ก็เข้าใจแล้วใช่ไหม อุปนิสสยะ กว่าจะสะสมความเข้าใจโดยสติระลึกจากการได้ฟังเป็นอนัตตา ถึงความมั่นคงที่จะเกิดระลึกทันที ต้องอาศัยตั้งแต่เริ่มต้นที่จะรู้ว่า อารมณ์อย่างนี้แหละเป็นที่ตั้งของปัญญาที่สามารถที่จะเข้าถึงความจริงของสภาพธรรมะนั้นทีละเล็กทีละน้อย เมื่อได้ฟังเข้าใจเห็นประโยชน์ เริ่มเป็นนิสสยะไม่ไปหาอารมณ์อื่น รู้ว่าอารมณ์อื่นไม่ได้เข้าใจถูกต้อง การฟังก็ค่อยๆ นำไปสู่การที่จะระลึกรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ
เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นโคจระตามลำดับขั้นตั้งแต่เริ่มมีอุปนิสัย หรือเป็นอุปนิสัยที่จะรู้ว่า การรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น เป็นหนทางที่จะรู้แจ้งความจริงได้
อ.อรรณพ: เป็นอุปนิสสยโคจระมากๆ ที่ท่านอาจารย์กล่าวอีกแล้วก็กล่าวอีกครับ ก็ค่อยๆ เป็นที่อาศัยที่มีกำลังสะสมความเข้าใจในขั้นฟัง
เพราะฉะนั้น คำที่ท่านอาจารย์กล่าว เป็นอุปนิสสยโคจระ เมื่อมีความเข้าใจในคำกล่าวนั้นที่จะได้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง จนกว่าสิ่งที่เป็นอารัมมณะ เช่น แข็งที่ปรากฏตรงนี้ ปรากฏโดยความเป็นอารัมมณะ ไม่ได้ปรากฏโดยความเป็นอุปปนิพันธโคจระในขณะที่ถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด แต่ก็ไม่ต้องไปคิดถึงว่าเมื่อไหร่สติปัฏฐานจะเกิด แต่ขณะที่ฟังไปก็สะสมความเข้าใจเพิ่มจากคำเหล่านี้ครับที่เป็นอุปนิสสยโคจระ เป็นไปเพื่อที่จะเป็นโคจระต่อๆ ไป
ท่านอาจารย์: แม้แต่โคจระก็ต้องเข้าใจให้ละเอียด อุปนิสสยโคจระ ต่อไปๆ ๆ
อ.อรรณพ: ใช่ครับ ก็เป็นสังขารขันธ์ที่จะทำให้ ต่อไปๆ ๆ ๆ ด้วยกำลังของสังขารขันธ์ สติปัญญา ไม่มีหนทางอื่น
ท่านอาจารย์: และถ้าไม่มีความเข้าใจสติปัฏฐาน ไม่มีความเข้าใจรอบรู้ในอริยสัจจธรรม จะมีอุปนิสสยโคจระได้ไหม และถ้าไม่มีแล้ว อยู่ดีๆ ก็จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้อย่างไร?
อ.อรรณพ: ไม่ได้ เพราะไม่ใช่การศึกษาโดยลำดับ
ท่านอาจารย์: เฉพาะฉะนั้น จึงมีทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
อ.อรรณพ: ครับ ขอมีทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งตลอดไปครับ
ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..
โคจรไปในแดนเป็นของบิดา [มหานิทเทส]
ขอเชิญฟังได้ที่..
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ

