เมื่อได้ฟังพระธรรมมากขึ้น กุศลแต่ละทางก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น

ท่านอาจารย์ แต่ก็ไม่มีเราหรือตัวตน เป็นอวิชชา เป็นความไม่รู้ เป็นอกุศลทั้งหลาย เพราะฉะนั้นกว่าจะอบรมเจริญปัญญาด้วยการฟังจริงๆ แล้วก็พิจารณาโดยละเอียดรอบคอบ ให้เข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากที่จะเห็นสภาพที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่จากการที่ฟังและก็พิจารณาเนืองๆ บ่อยๆ ก็เป็นหนทางตรง หนทางที่จะทำให้สัมมาสติเกิด แล้วก็ระลึก แล้วก็ค่อยๆ ศึกษาลักษณะของสภาพธรรมไปเรื่อยๆ
มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่งท่านบอกว่า ท่านฟังมา ๒๐ ปี แต่ว่าท่านก็ยังไม่ได้อะไร ดิฉันก็อนุโมทนา เพราะรู้ว่า ต้องเป็นความจริงอย่างนั้น เพราะเหตุว่าไม่ใช่ว่าจะได้เป็นพระโสดาบันบุคคลภายใน ๒๐ ปีที่ฟัง แต่หมายความว่า จะต้องเข้าใจขึ้น เข้าใจละเอียดขึ้น แล้วก็รู้ว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เมื่อมีปัจจัยที่สติจะเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมเมื่อไร สติก็เกิด และปัญญาขั้นที่จะศึกษาพร้อมสติที่จะระลึกลักษณะของสภาพธรรมนั้น ก็ค่อยๆ เจริญขึ้น ซึ่งเป็นไปทีละเล็กทีละน้อยๆ จริงๆ แต่ว่าผลของการเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน จะทำให้สติขั้นอื่นเกิดเพิ่มขึ้นด้วย
นี่เป็นสิ่งที่ควรจะเห็นคุณประโยชน์ของการฟังพระธรรม แล้วก็สติแต่ละขั้นก็จะเกื้อกูล เพราะแม้ว่าจะไม่เป็นปัจจัยให้สติปัฏฐานเกิดได้เนืองๆ บ่อยๆ แต่ก็ยังเป็นปัจจัยที่จะเกื้อกูลให้สติการระลึกได้ขั้นอื่นๆ เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นแต่ละท่านก็คงจะสังเกตตัวเองว่า กุศลเจริญขึ้นบ้างไหม ในประการใด ซึ่งแต่ก่อนนี้คงจะไม่เกิด แต่ว่า เมื่อได้ฟังพระธรรมมากขึ้น กุศลแต่ละทางก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะเห็นคุณประโยชน์ของสติที่ทำให้เกิดกุศลขั้นนั้นๆ ด้วย แม้ว่าจะยังไม่ใช่ขั้นสติปัฏฐาน แต่ว่าสติที่เป็นขั้นสติปัฏฐานก็จะเกิดสลับกับสติที่เป็นกุศลขั้นอื่นๆ ไปเรื่อยๆ ในชีวิตประจำวัน


