ปัจจุบัน ขณะนี้ขณะเดียว

ก็ขึ้นอยู่กับการเข้าใจสภาพธรรม ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่สติจะต้องระลึก มิฉะนั้นแล้วก็ไม่สามารถที่จะศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนได้ เพราะแต่ละวันก็ผ่านไปๆ ก็เป็นนามธรรมและรูปธรรมทั้งนั้น ทุกวันๆ ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน เป็นสุขบ้าง ทุกข์บ้าง เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง เหตุการณ์ต่างๆ บ้าง เดือดร้อนใจบ้าง พอใจบ้าง สนุกสนานเพลิดเพลินบ้าง แต่ว่าทุกขณะก็หมดไป ไม่มีอะไรที่เหลือเลยสักขณะจิตเดียว แม้ในขณะนี้เอง สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยก็ดับไป แล้วก็เกิดขึ้นปรากฏ แล้วก็ดับไป เป็นอนัตตา แต่ว่าเป็นสภาพธรรมที่ยากที่จะประจักษ์ในความเป็นอนัตตา สภาพที่ไม่ใช่ตัวตนของสิ่งที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้นถ้าทุกคนจะรู้ว่า อดีต ความสนุกสนาน หรือความสุขความทุกข์เมื่อวานนี้ เมื่ออาทิตย์นี้ เมื่อเดือนนี้ หรือหลายๆ เดือนมาแล้ว ก็ผ่านหมดไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็คงเหลืออยู่แต่ ปัจจุบัน ขณะนี้ขณะเดียว เพียงขณะเดียวจริงๆ ซึ่งจะต้องศึกษาให้เข้าใจลักษณะที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
บางคนก็บอกว่า ไม่ขอพบคนนั้นคนนี้อีกในชาติหน้า นี่เป็นความรู้สึก ซึ่งถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจพระธรรมแล้ว ไม่ต้องคิดอย่างนี้เลย เพราะเหตุว่าจะไม่มีคนนั้นอีกชาติหน้า และก็จะไม่มีคนนี้ซึ่งเข้าใจว่าเป็นเราอีกในชาติหน้าด้วย
เพราะฉะนั้นก็มีแต่ชาตินี้ที่จะเป็นคนนี้ หรือที่จะเป็นคนนั้น แต่ว่าเมื่อสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้และบุคคลนั้นในชาตินี้แล้ว ชาติหน้าก็ต้องเป็นคนอื่นจริงๆ เพราะฉะนั้นก็ไม่ห่วง ไม่ต้องกังวลว่า จะต้องไปพบกับคนนั้นคนนี้อีก ซึ่งไม่มีทางจะเป็นไปได้เลย เพราะเหตุว่าความเป็นบุคคลนี้จะไม่ติดตามไปถึงชาติหน้า
เพราะฉะนั้นจะยังคงมีความขุ่นเคืองใจหรือความไม่พอใจในบุคคลหนึ่งบุคคลใดก็ขอให้คิดว่า ไม่มีบุคคลนั้นเลย มีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ยึดถือว่าเป็นบุคคลนั้นบุคคลนี้ แม้แต่ตัวของท่านเองก็ไม่มี มีแต่ความพอใจบ้าง ความไม่พอใจบ้าง แต่ละขณะซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยหลังจากที่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึก
เพราะฉะนั้นขอให้คิดถึงช่วงเวลาที่สั้นที่สุด แทนที่จะคิดถึงเหตุการณ์ใหญ่ๆ หรือว่าคิดถึงเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนซึ่งเที่ยง แต่ความจริงแล้วก็เป็นเพียงชั่วขณะจิตเดียวที่สภาพธรรมเกิดขึ้นปรากฏทั้งนามธรรมและรูปธรรม


