มีหนทางที่จะรู้จักประโยชน์ของการเกิดมาไหม?

 
เมตตา
วันที่  16 ก.ค. 2568
หมายเลข  50397
อ่าน  538

[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม 1 ภาค 1 - หน้า 272

ลำดับนั้น อุปติสสปริพาชก จึงถามพระเถระนั้นว่า ก็พระศาสดาของท่านผู้มีอายุ มีวาทะอย่างไร กล่าวอย่างไร. พระเถระคิดว่า ธรรมดาปริพาชกทั้งหลายนี้ เป็นปฏิปักษ์ต่อพระศาสนา เราจักแสดงความลึกซึ้งในพระศาสนาแก่ปริพาชกนี้ เมื่อจะถ่อมตนว่า เรายังเป็นผู้ใหม่จึงกล่าวว่า ผู้มีอายุ เราแลเป็นผู้ใหม่บวชยังไม่นาน เพิ่งมาสู่มาสู่พระวินัยนี้ เราไม่อาจแสดงธรรมโดยพิสดารได้ก่อน. ปริพาชกคิดว่า เราชื่อว่า อุปติสสะ ท่านจงกล่าวน้อยหรือมากตามความสามารถ การแทงตลอดธรรมนั่นด้วยร้อยนับพันนัย เป็นภาระของเรา จึงกล่าวว่า

อปฺปํ วา พหุํ วา ภาสสฺสุ อตฺถํเยว เม พฺรูหิ

อตฺเถเนว เม อตฺโถ กึ กาหสิ พฺยญฺชนํ พหุํ

ท่านจงกล่าวเถิด น้อยก็ตามมากก็ตาม จงกล่าวเฉพาะแต่ใจความแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการใจความเท่านั้น. ท่านจะทำพยัญชนะให้มากไปทำไม.

เมื่อกล่าวอย่างนี้แล้ว พระเถระจึงกล่าวคาถาว่า เย ธมฺมา เหตุปฺ ปภวา (ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด) ดังนี้เป็นต้น. ปริพาชกฟังเฉพาะ ๒ บทแรกเท่านั้น ก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรคอันสมบูรณ์ ด้วยนัยพันหนึ่ง. ทำ ๒ บทหลังให้จบลง ในเวลาเป็นพระโสดาบันแล้ว.


[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม 1 ภาค 2 - หน้า 316

[๗๓๙] พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

สัตบุรุษทั้งหลาย ได้กล่าววาจาสุภาษิตว่าเป็นที่หนึ่ง บุคคลพึงกล่าววาจาที่เป็นธรรมไม่พึงกล่าววาจาที่ไม่เป็นธรรม เป็นที่สอง บุคคลพึงกล่าววาจาอันเป็นที่รัก ไม่พึงกล่าววาจาอันไม่เป็นที่รัก เป็นที่สาม บุคคลพึงกล่าววาจาจริง ไม่พึงกล่าววาจาเท็จ เป็นที่สี่ ดังนี้.


อ.คำปั่น: สืบเนื่องจากเมื่อวานนี้ได้นำคลิปธรรมเตือนใจที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้เมื่อปี พ.ศ ๒๕๕๔ ในชั่วโมงของการสนทนาพระสูตรที่ชื่อว่า สุภาษิตสูตร ซึ่งคลิปนี้อ.อรรณพได้ตัดต่อ แล้วก็ตั้งชื่อว่า พูดมาก หรือพูดน้อยดี นะครับ ก็เป็นประโยชน์ที่จะได้คิดพิจารณาไตร่ตรองในความเป็นจริงของธรรมะครับ เพราะว่า เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งเรื่องของคำพูดซึ่งมาจากจิต ก็กราบเท้าท่านอาจารย์ว่า แม้คำพูดในชีวิตประจำวันของแต่ละคนแต่ละท่านก็หลากหลายตามการสะสม

ซึ่งในคลิปท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงว่า จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน ครับ แม้คำพูดที่เกิดขึ้นก็มาจากจิต กราบท่านท่านอาจารย์ ได้กล่าวถึงความเป็นนจริงของธรรมะว่า เมื่อได้ฟังอย่างนี้ คำพูดแต่ละคำที่เกิดขึ้นก็มาจากจิต ก็ต้องเข้าใจตั้งแต่ต้นครับในความเป็นไปของธรรมะที่จะค่อยๆ กล่อมเกลา ปลูกฝังในความเป็นจริงของธรรมะที่ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคลไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ครับ

ท่านอาจารย์: ต้องไม่ลืมว่า เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไรทั้งหมด เพื่อให้ค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้น สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ก็ผ่านไปทุกขณะ โดยที่ว่า ไม่มีความเข้าใจในความเป็นจริงของแต่ละขณะ แล้วจะมีประโยชน์อะไร?

มีสิ่งที่มีจริงทุกขณะ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจความจริงของสิ่งนั้น ไม่เข้าใจความจริงของสิ่งนั้น เพราะฉะนั้น ก็ไม่สามารถจะเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น ใช่ไหม?

อ.คำปั่น: ใช่ครับท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เกิดมาไม่เข้าใจ จนตายไปก็ไม่เข้าใจ แล้วมีประโยชน์ไหม? มีสิ่งที่มีจริงปรากฏก็ไม่เข้าใจ เกิดมาเพื่อไม่เข้าใจความจริง

อ.คำปั่น: การเข้าใจความจริงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งครับ ก็ละเอียดที่ท่านอาจารย์กล่าวมาก็เป็นเครื่องเตือนอย่างยิ่งครับว่า ถ้าไม่รู้ความจริงจะมีประโยชน์อะไร แม้ในวันนี้ที่ได้กล่าวถึงได้สนทนาถึงคำพูดที่เกิดจากจิตซึ่งเป็นความเป็นไปของธรรมะ ถ้าหากว่า จิตเป็นอกุศลเป็นสภาพที่ไม่ดีเสียแล้ว จะพูดสิ่งที่ดีจะพูดสิ่งที่เป็นประโยชน์ก็เป็นไปไม่ได้ครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น มีหนทางที่จะรู้จักประโยชน์ของการเกิดมาไหม?

อ.คำปั่น: มีหนทางครับ

ท่านอาจารย์: หนทางไหน?

อ.คำปั่น: หนทาง ก็คือฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ

ท่านอาจารย์: หนทางเดียวที่จะกล่าวให้รู้ความจริงของทุกอย่างที่กำลังมีจริงๆ

อ.คำปั่น: ชัดเจนอย่างยิ่งครับ ก็ให้เห็นเลยว่า สำคัญ ก็คือการที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังคำที่เกื้อกูลให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ คำที่เป็นประโยชน์ไม่ว่าจะน้อยไม่ว่าจะมากก็ตาม ก็เป็นคำที่เป็นประโยชน์ครับ

ก็ซาบซึ้งอย่างยิ่งครับข้อความหนึ่งที่แสดงถึงความเป็นประโยชน์ของผู้ที่มีความตั้งใจที่จะฟังที่จะศึกษาเพื่อความเข้าใจสิ่งที่มีจริงตรงตามความเป็นจริง อันนี้เป็นข้อความใน มโนรถปูรณี อรรถกถา อังคุตตนิกาย เอกนิบาต ครับ มีข้อความที่แสดงช่วงหนึ่งที่ท่านอุปติสสปริพาชกซึ่งก็คือท่านพระสารีบุตร แสวงหาธรรมะที่เป็นไปเพื่อหลุดพ้นจากกิเลสครับ ท่านก็ได้พบท่านพระอัสสชิซึ่งเป็นหนึ่งในภิกษุปัญจวัคคี พอเห็นแล้วก็เกิดความเลื่อมใส จึงเข้าไปสนทนาเข้าไปสอบถามว่าท่านบวชอุทิศใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน ศาสดาของท่านกล่าวว่าอย่างไร

แล้วท่านพระอัสสชิซึ่งท่านเป็นผู้ใหม่ในพระธรรมวินัย ท่านก็รู้ประมาณของตนเองท่านก็กล่าวว่า ไม่สามารถจะกล่าวธรรมโดยละเอียดได้ ทีนี้ท่านอุปติสสะได้กล่าวกับท่านพระอัสสชิว่า ข้าพเจ้าชื่ออุปติสสะ ท่านจงกล่าวน้อย หรือมากตามความสามารถ การแทงตลอดธรรมะนั่นด้วยร้อยนัยพันนัยเป็นภาระของขัาพเจ้าครับ

ท่านอาจารย์ครับ ก็เป็นคำที่ไพเราะอย่างยิ่ง แล้วก็มีข้อความที่เป็นคาถาที่ท่านได้กล่าวกับท่านพระอัสสชิครับ ประมวลได้ดังนี้ว่า ท่านจงกล่าวเถิด มากก็ตามน้อยก็ตาม จงกล่าวเฉพาะแต่ใจความแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการใจความเท่านั้น ท่านจะทำพยัญชนะให้มากไปทำไมครับ

ต่อจากนั้นท่านพระอัสสชิก็ได้กล่าวข้อความที่เป็นธรรมะ ๑ คาถา ที่กล่าวถึงว่า ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุ และความดับของธรรมเหล่านั้น พระสมณะมีปกติกล่าวอย่างนี้ ครับ เพียงแค่ครึ่งคาถาเท่านั้น ก็ทำให้ท่านอุปติสสะได้รู้แจ้งธรรมะถึงความเป็นพระโสดาบัน

ท่านพระอัสสชิยังพระธรรมเทศนาส่วนที่เหลือ ก็คือให้จบลงยังคาถาอีกครึ่งหนึ่งให้จบลงหลังจากที่ท่านอุปติสสะได้รู้แจ้งธรรมะถึงความเป็นพระโสดาบันแล้วครับ

ก็ซาบซึ้งอย่างยิ่งครับกับข้อความที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงในการสนทนาธรรมะว่า พูดมาก หรือพูดน้อยดีครับ สำคัญที่อะไร สำคัญที่คำนั้นเป็นคำที่เกิดจากจิตประเภทใดครับ ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับที่ได้ฟังได้ทบทวนนะครับ ท่านอาจารย์กล่าวไม่ยาวเลยครับ ไม่ถึง ๓ นาที แต่ละช่วงๆ เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่งครับ แม้แต่ข้อความที่กระผมก็ซาบซึ้งอย่างยิ่งในความเกื้อกูลของท่านอาจารย์ครับก่อนที่ได้กราบเรียนคณะอาจารย์ได้สนทนากับท่านอาจารย์นะครับ

ข้อความช่วงหนึ่งท่านอาจารย์กล่าวไว้ว่า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พ้นจากกิเลส เพราะตรัสรู้ความจริงซึ่งถึงที่สุด ไม่มีการเปลี่ยนอีกเลย เพราะฉะนั้น คำพูดจากปัญญาอย่างนั้น จะผิดไหม และผู้ที่ฟังก็จะต้องอบรมเจริญความเข้าใจถูกความเห็นถูกให้ตรงตามที่ได้ยินได้ฟังด้วย จึงจะเป็นประโยชน์

ก็ซาบซึ้งอย่างยิ่งกับคำจริงไพเราะอย่างยิ่งที่ท่านอาจารย์ได้กล่าว เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง และก็ตรงกับที่ได้ฟังสัปดาห์ก่อนๆ ว่า ประพฤติตามที่ได้ฟัง ครับ คือทั้งหมดที่ได้ฟังมาเป็นประโยชน์สอดคล้องกันทั้งหมดเลยกับคำจริงที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้ครับ

ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่..

กล่าวมากก็ตามน้อยก็ตาม จงกล่าวเฉพาะแต่ใจความ [เอกนิบาต]

บุคคลพึงกล่าววาจาที่เป็นธรรม [สคาถวรรค]

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ด้วยความเคารพค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 16 ก.ค. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ