เข้าใจความเป็นธรรมะของธาตุรู้

 
เมตตา
วันที่  16 ก.ค. 2568
หมายเลข  50403
อ่าน  376

อ.อรรณพ: ท่านอาจารย์กล่าวเช่นนี้อยู่เสมอว่า ถ้าไม่เป็นไปเพื่อการเข้าใจความจริงในขณะนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้น การศึกษาทุกเรื่องทุกคำทุกข้อความก็เพื่อเข้าใจความจริงในขณะนี้

เพราะฉะนั้น เมื่อวานสนทนากันเรื่อง คำพูดซึ่งก็เกิดจากจิต ผมก็ปรารภที่ท่านอาจารย์เพิ่งกล่าวเมื่อสักครู่นี้ว่า ถ้าไม่รู้ ธาตุรู้ ที่กำลังมีกำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ซึ่งเป็นปัจจัยให้มีการกล่าวการพูด ก็ไม่อาจจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมี

แล้วเมื่อมีธาตุรู้ที่เป็นไปอย่างไร ก็มีการเปล่งเสียงเป็นคำพูดออกไปเช่นนั้น คำพูดก็เกิดจากจิต คำพูดที่ไม่ดีก็เกิดจากจิตที่ไม่ดี คำพูดที่ดีก็เกิดจากจิตที่ดี กราบท่านอาจารย์ครับว่า เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ เพื่อศึกษาธาตุรู้ที่กำลังเกิดขึ้น ความคิดจะเรียกว่าธาตุคิดก็ได้ ภาษาบาลีปนภาษาไทย ก็กราบเท้าท่านอาจารย์ เพราะว่าคำพูดก็เกิดขึ้นจากจิตแล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นคำพูดที่ไม่ค่อยดีก็เกิดจากอกุศลจิตครับ

เพราะฉะนั้น การศึกษาที่จะเป็นประโยชน์เป็นไปเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็ปรุงแต่งให้กาย วาจา ใจ ดีงามขึ้นครับ ให้ท่านอาจารย์ได้ช่วยอนุเคราะห์กล่าวความจริงตรงนี้ด้วยครับ

ท่านอาจารย์: คงไม่ลืม ทุกคนกำลังไม่รู้ แม้อุปติสสมานพก็แสวงหาคำ จะน้อยจะมากก็ตาม เป็นเรื่องของผู้พูด แต่เรื่องของท่าน คือไตร่ตรองพิจารณาจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงของคำน้อยหรือคำมากกี่คำก็ตาม เห็นไหม ความต่างกัน

เพราะเหตุว่า บางคนไม่สนใจในคำที่ผู้ใดกล่าวแม้น้อย เช่นธรรมะ นามธรรม เหมือนรู้แล้ว ต้องการจะรู้อย่างอื่นต่อไป และก็ไม่รู้เลยว่า แค่ความหมายของคำว่า ธรรมะ สิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นต้องรู้ ก็คือเดี๋ยวนี้เอง

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใครจะพูดคำมากน้อยอย่างไรก็ตามอยู่ที่การฟังแล้วไตร่ตรองในความละเอียดที่ว่า กำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริง ไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่นเลย แล้วก็ไม่ต้องมีกี่คำที่มากมาย แค่คำที่ได้ฟังไตร่ตรองในความละเอียดด้วยตัวเอง ค่อยๆ ที่จะเข้าใจว่า หมายถึงขณะนี้มีสิ่งที่เกิดแล้ว แล้วก็รู้ด้วยเป็นสภาพรู้ แต่ว่านี่เพียงขั้นฟัง

บางท่านก็แล้วอย่างไรอีก? แล้วจะทำอย่างไร? นี่ไม่ใช่เลยค่ะ ไม่ใช่หน้าที่จะทำ แต่ไม่ว่าคำนั้นจะมากจะน้อยอย่างไรก็ตาม ผู้ฟังเป็นผู้พิจารณาเห็นความลึกซึ้งว่า ตามความจริงแม้แต่ธาตุรู้ แค่นี้!! กำลังรู้ คือกำลังเห็น ก็ไม่ได้รู้จักธาตุรู้ที่เห็น ได้แต่ฟังเฉยๆ แล้วก็ค่อยๆ ไตร่ตรองในความลึกซึ้งของแต่ละคนที่จะไม่ผ่านคำว่า ธาตุรู้ ในขณะที่กำลังรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ

ก็เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งเป็นเรื่องที่แต่ละคนฟังแล้วไม่รีบร้อนไปไหน แต่เป็นหน้าที่ที่จะต้องงไตร่ตรองในความละเอียดในความลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า ชื่อจำได้ ธาตุรู้ รู้ความหมายว่าธาตุรู้คืออะไร เกิดขึ้นต้องรู้ แต่เดี๋ยวนี้ธาตุรู้กำลังรู้ เริ่มไตร่ตรอง รู้มากน้อยแค่ไหน ในคำว่า ธาตุรู้ ที่เกิดขึ้นรู้ที่เข้าใจแล้ว แต่เดี๋ยวนี้กำลังรู้ รู้จักธาตุรู้แล้วหรือยัง?

อ.อรรณพ: เป็นความลึกซึ้งที่สุด เพราะว่าไม่ปราศจากธาตุรู้ แล้วธาตุรู้ก็มีความเป็นไปของธาตุรู้นั้น เพียงคิดทางใจก็ได้ หรือว่าธาตุรู้นั้นเป็นปัจจัยให้มีการเป็นไปทางกาย ทางวาจาเป็นคำพูดอะไรทั้งหลาย ก็เห็นในความลึกซึ้งครับ ถ้าไม่ใส่ใจสนใจในความเป็นธาตุรู้ ก็ไม่สามารถที่จะมีความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นได้จริงๆ ครับ

อย่างคำพูดก็เกิดจากธาตุรู้เกิดจากจิตที่เป็นไป ซึ่งในพระไตรปิฎกแสดงไว้มากครับ ก็จะกราบเท้าถามท่านอาจารย์ขอให้ท่านอาจารย์ได้กล่าวซึ่งในพระไตรปิฎกได้พูดถึงว่า คำพูดที่ไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นคำหลอกลวงของแม้พระภิกษุจะแกล้งพูดทำเป็นปฏิเสธให้ทายกถวายเยอะๆ ถ้าไม่รู้ในลักษณะของธาตุรู้อย่างนั้น วาจานั้นก็เกิดจากอกุศลทันที

ก็เห็นเลยว่า ถ้าเราจะไปพูดถึงเรื่องคำพูดเรื่องอะไรต่ออะไร คำพูดที่ดีจะน้อยจะมากก็ขึ้นอยู่กับการไตร่ตรองของผู้ฟังซึ่งก็เป็นสิ่งที่ไม่พ้นจากเรื่องของความเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้จริงๆ ครับ แล้วถ้าจะไปถามว่าจะรู้จักสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้อย่างไร ก็เป็นเรื่องของตัวตน ในขณะนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะใส่ใจในคำพูดคำกล่าวที่เป็นประโยชน์จะน้อยจะมาก เพราะขณะนั้นเป็นเราเสียแล้วที่อยากจะให้มีคำพูดดีๆ

กราบท่านอาจารย์ครับ การที่อยากมีคำพูดดีๆ กับการที่เห็นประโยชน์ของการที่จะเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ และมีการปรุงแต่งไปที่แม้จะกล่าวก็เป็นการกล่าวที่ดี แม้จะฟังโดยไม่กล่าวก็เป็นการฟังที่ดีครับ อันนี้ดูมีความใกล้เคียงกันถ้าไม่แยบคาย ทีนี้ในความละเอียดที่จะอยากมีคำพูดดีๆ อยากเป็นคนพูดเป็นคนมีวาจาสุภาษิต กับการที่จะเข้าใจในความเป็นธรรมะของธาตุรู้ที่จะทำให้มีวาจาที่ดีครับ กราบท่านอาจารย์ได้กล่าวเพื่อประโยชน์ด้วย เพราะวันๆ ก็ต้องคิดต้องพูดอยู่เรื่อยครับ

ท่านอาจารย์: ส่วนใหญ่อ่านพระไตรปิฎก หรือฟังคำจากพระไตรปิฎก? ไม่ได้คิดถึงประโยชน์ที่แท้จริง เพียงแต่อยากรู้ว่า ตรัสอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร พูดอย่างไรจะดี พูดอย่างไรจะไม่ดี ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะยังไม่รู้จักพูด ลืมต้นตอว่าจุดประสงค์ของการที่ฟังธรรมะ ไม่ว่าใครจะกล่าวว่าอย่างไร คนนี้จะกล่าวว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่ให้ไปตามใส่ใจ แล้วอย่างไรจะพูดดีอะไรอย่างนั้น นั่นเป็นการที่ยังไม่เข้าใจธรรมะเลย แต่มีตัวตนที่ปราถนาต้องการที่จะเป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใครจะพูดกี่คำ ขึ้นอยู่กับผู้ฟังที่จะพิจารณาในสิ่งที่ได้ฟังละเอียดลึกซึ้งได้แค่ไหน

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่พอได้ยินว่าพูดอย่างนี้ดีนะ ก็ไปนั่งคิดนั่งถามนั่งทำตาม ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แม้แต่ขณะนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่า แม้แต่คำพูดนี่คืออะไ? เป็นเสียง เกิดจากอะไร? ถ้าไม่มีธาตุรู้ เสียงที่กล่าวคำนั้นก็มีไม่ได้ ต้องไปถึงต้นตอของสิ่งที่กำลังมีที่ยังไม่รู้

เพราะฉะนั้น จะอย่างไรก็ตาม ถ้าไม่รู้ในความเป็นธาตุรู้ หรือธาตุที่ไม่รู้ ก็ไม่สามารถที่จะรู้จักสิ่งที่มีจริงในโลกทุกชาติทั้งหมดจักรวาล ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่พ้นจากธาตุที่มีจริง คือธาตุรู้กับธาตุที่ไม่รู้

เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังฟัง ไม่ได้ไปใส่ใจ ที่ หมายความว่าอะไร จะต้องทำตาม จะต้องเข้าใจตรงนั้นตรงนี้ แต่แม้แต่เพียง คำพูด ก็ยังไม่รู้ เห็นความละเอียดว่า ไม่ใช่ให้ตาม แต่ให้รู้ความจริงว่า อะไรที่ไม่รู้ และควรรู้สิ่งนั้น ถ้ารู้สิ่งนั้นแล้วจะหมดสงสัยในแต่ละคำนั้น เพราะเหตุว่าแต่ละคำนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เมื่อรู้จักธาตุที่มีจริงซึ้งเป็นปัจจัยที่จะให้เกิดเสียง เกิดคำต่างๆ ก็เป็นเรื่องที่แต่ละคนจะต้องไตร่ตรอง ละเอียดขึ้นๆ ๆ ๆ เพื่อละความต้องการที่จะตามที่จะไปคิดว่าหมายความว่าอะไร พูดอย่างนั้นพูดอย่างนี้ แต่ว่า ขณะนั้นที่มี อะไรล่ะ ยังไม่รู้? ก็จะไปตามคำต่างๆ

เพราะฉะนั้น ประโยชน์ก็คือว่า ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดผู้ที่ลึกซึ้งผู้ที่เข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่มีจริง

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 17 ก.ค. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ