ลืมก็คือจำนั่นเอง

 
nattawan
วันที่  4 ก.ค. 2568
หมายเลข  50304
อ่าน  84

ผู้ฟัง ผมขอความชัดเจนของคำว่า " ลืมก็คือจำนั่นเอง " หมายความว่าอย่างไร

ท่านอาจารย์ ลืมเป็นอย่างไร ตอบได้คือจำได้

ผู้ฟัง ลืมก็คือจำไม่ได้

ท่านอาจารย์ นั่นแหละตอบได้ก็คือจำได้ว่าลืม คือลักษณะอย่างนั้น แล้วก็อย่างที่คุณวีระกล่าวถึงเมื่อครู่นี้คือเรื่องของสัญญาขณะที่เกิดกับจิตเห็น แล้วก็เกิดจำในสิ่งที่เห็น จิตเกิดดับเร็วมากขณะที่เหมือนกับว่ากำลังทั้งเห็น และได้ยินด้วย ก็มีเห็น และก็มีคิดถึงสิ่งที่เห็น แล้วก็มีได้ยินแล้วคิดถึงสิ่งที่ได้ยิน เพราะฉะนั้นเวลาที่เห็นแล้วเพราะจำสิ่งนั้นจึงได้คิดถึงสิ่งนั้นได้ทั้งๆ ที่ในขณะนี้เกือบไม่เห็นขณะคิดเลย จะเห็นเพียงเห็นกับได้ยิน ๒ อย่าง และที่คิดไหนอยู่ตรงไหน คิดก็คืออยู่ระหว่างเห็นกับได้ยินเพราะว่าทุกครั้งที่เห็นแล้วจะต้องเกิดมโนทวารวิถีจิตคิดถึงสิ่งที่เห็น นั่นก็แสดงถึงว่ามีความจำในสิ่งที่เห็นจึงได้คิดถึงสิ่งที่เห็นได้ แต่ถ้าไม่มีสัญญาเจตสิกที่เกิดกับจิตที่จำจะคิดอะไรก็คิดไม่ได้ ใช่ไหม

เพราะฉะนั้นความรวดเร็วของจิตซึ่งเกิดดับอย่างเร็วมากจากตามาใจ จากหูมาใจจากจมูกมาใจ ใจเป็นที่รวมของทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ถ้าจะคิดถึงลักษณะของจิตก็คงไม่ลืมว่าจิตไม่มีสีสันอะไรเลย ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสัณฐาน เป็นนามธาตุล้วนๆ ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น เอารูปออกให้หมดทุกชนิดก็เหลือสภาพซึ่งเป็นธาตุรู้ซึ่งมืดสนิท แต่ว่ามืดสนิทเมื่อไหร่ ตอนเกิดปฏิสนธิขณะ โลกนี้ไม่ปรากฏ กลิ่นอะไรก็ไม่มี ทวารใดๆ ที่จะให้จิตใดๆ เกิดในขณะปฏิสนธิก็มีไม่ได้ เพราะว่าปฏิสนธิจิตเป็นจิตที่เป็นผลของกรรมหนึ่งที่ทำให้เกิดสืบต่อจากจุติจิตขณะสุดท้ายของชาติก่อน แล้วปฏิสนธิจิตก็เกิดขณะนั้นมืดสนิท แต่เพราะเหตุว่ามีจักขุปสาทนี่เอง โลกจึงไม่มืดสนิท มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ แต่เมื่อเห็นสั้นมาก จริงๆ แล้วก็คือว่าแสนสั้นเพราะว่าเห็นกับได้ยินคนละขณะ แล้วก็มีจิตเกิดดับอยู่ระหว่างนั้นมากหลายขณะ เพราะฉะนั้นความสั้นของสิ่งที่ปรากฏทางตาแล้วดับทางใจรับรู้ต่อ

เพราะฉะนั้นก็เป็นความมืดสนิทซึ่งคิดถึงสิ่งที่ปรากฏนิดเดียวทางตา คิดถึงเสียงที่ปรากฏนิดเดียวทางหู คิดถึงกลิ่นนิดเดียวที่ปรากฏทางจมูก คิดถึงรสที่ปรากฏนิดเดียวขณะที่ลิ้ม คิดถึงสิ่งที่กระทบกายนิดเดียว เพราะทุกอย่างต้องมารวมที่ใจที่คิดเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ เพราะฉะนั้นโลกมืดสนิท แต่สว่างนิดเดียวขณะที่กำลังเห็น แล้วก็มีความคิดนึกเรื่องทุกสิ่งที่ผ่านทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เวลาไม่เห็น เวลาไม่ได้ยิน เวลาไม่ได้กลิ่น เวลาไม่ลิ้มรส เวลาไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึกได้ไหม คิดนึกได้ขณะนั้นไม่มีสีสันวรรณะใดๆ ปรากฏทางตา ไม่มีเสียงปรากฏทางหูแต่จิตคิด คิดถึงอะไร คิดถึงสิ่งที่เห็น คิดถึงเสียงที่ได้ยิน คิดถึงกลิ่นก็ได้ คิดถึงรสก็ได้ คิดถึงสิ่งที่กระทบสัมผัสกายก็ได้ เพราะฉะนั้นความคิดก็จะรับจากทางตาหูจมูกลิ้นกายซึ่ง สัญญาจะจำทุกอย่าง มิฉะนั้นจิตจะคิดถึงสิ่งนั้นไม่ได้เลย

สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 071


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 4 ก.ค. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ