นี่คือธัมมจักกัปปวัตตนสูตรใช่ไหม?_สนทนาธรรมไทย-ฮินดี วันเสาร์ที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๘

 
เมตตา
วันที่  6 ก.ค. 2568
หมายเลข  50320
อ่าน  753

[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 588

ยุคนัทธวรรค

๗. ธรรมจักรกถา

[๖๑๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้ พระนครพาราณสี ฯลฯ เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านพระโกณฑัญญะ จึงมีชื่อว่า อัญญาโกณฑัญญะ ดังนี้.

จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เกิดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่ เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ ... คำว่า แสงสว่างเกิดขึ้นเพราะอรรถ ว่าสว่างไสว.

จักษุเป็นธรรม ความเห็นเป็นอรรถ ญาณเป็นธรรม ความรู้เป็นอรรถ ปัญญาเป็นธรรม ความรู้ทั่วเป็นอรรถ วิชชาเป็นอรรถ ความแทงตลอดเป็น ธรรม แสงสว่างเป็นธรรม ความสว่างไสวเป็นอรรถ ธรรม ๕ ประการ อรรถ ๕ ประการนี้ เป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ เป็นที่ตั้งแห่งสัจจะ มีสัจจะเป็น อารมณ์ มีสัจจะเป็นโคจร สงเคราะห์เข้าในสัจจะ นับเนื่องในสัจจะ เข้ามา ประชุมในสัจจะ ตั้งอยู่ในสัจจะ ประดิษฐานอยู่ในสัจจะ.

[๖๑๕] ชื่อว่าธรรมจักร ในคำว่า ธมฺมจกฺกํ นี้ เพราะอรรถว่า กระไร?

ชื่อว่าธรรมจักร เพราะอรรถว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้ธรรมและ จักรเป็นไป ทรงให้จักรและธรรมเป็นไป ทรงให้จักรเป็นไปโดยธรรม ทรง ให้จักรเป็นไปโดยการประพฤติเป็นธรรม ทรงดำรงอยู่ในธรรมให้จักรเป็นไปทรงประดิษฐานอยู่ในธรรมให้จักรเป็นไป ทรงให้ประชาชนประดิษฐานอยู่ใน ธรรมให้จักรเป็นไป ทรงบรรลุถึงความชำนาญในธรรมให้จักรเป็นไป ทรง ยังประชาชนให้บรรลุถึงความชำนาญในธรรมให้จักรเป็นไป ทรงบรรลุถึงความ ยอดเยี่ยมในธรรมให้จักรเป็นไป ทรงให้ประชาชนให้บรรลุถึงความยอดเยี่ยม ในธรรมให้จักรเป็นไป ทรงบรรลุถึงความแกล้วกล้าในธรรมให้จักรเป็นไป ทรงให้ประชาชนบรรลุถึงความแกล้วกล้าในธรรมให้จักรเป็นไป ...


[เล่มที่ 6] พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ หน้าที่ ๔๔

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ปฐมเทศนา

[๑๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะพระปัญจวัคดีย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่สุด ๒ อย่างนี้อันบรรพชิตไม่ควรเสพคือ การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย เป็นธรรมอันเลวเป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑. การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตน เป็นความลำบาก ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั้นนั่นตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิดย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน.


อาช่า: มีความประสงค์ให้ท่านอาจารย์สนทนาถึง ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เพราะว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้าเป็นวันอาสาฬหบูชา ซึ่งเป็นวันที่อาช่าจะไปสนทนากับกลุ่มหนึ่ง แล้วเขาคงได้ตั้งคำถามเกี่ยวข้องกับวันนี้ค่ะ

ท่านอาจารย์: ไม่ว่าเป็นธัมมจักกัปปวัตตนสูตร หรืออะไรก็ตามแต่ ทุกคำ เพื่อเข้าใจใช่ไหม?

อาช่า: ใช่ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น คุณอาช่าอ่านธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแล้ว สงสัยคำไหน หรือว่าเข้าใจพอแล้วยัง เราจะได้สนทนากัน

อาช่า: ไม่ได้อ่านจบ แต่ว่ารู้เคร่าๆ ว่ากล่าวถึงอริยสัจจ์ ๔ และการเจริญบารมี อยากให้ท่านอาจารย์สนทนาพระสูตรนี้ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น คุณอาช่าอาจจะเริ่มสนทนาแบบเราที่กำลังสนทนาก็ได้

ธัมมะ คืออะไร? จักกะ คืออะไร?

อาช่า: ธัมมะ ก็คือสิ่งที่มีจริง ทุกอย่างที่เกิดแล้วดับเป็นธรรมะ จักกะ ทั้วไปก็หมายถึงล้อหมุน เพราะฉะนั้น อยากจะรู้ว่า ที่พระพุทธองค์ใช้คำนี้ ทำไมใช้คำนี้ เพื่อแสดงอะไรค่ะ

ท่านอาจารย์: ธรรมะ เกิดแล้วดับหรือเปล่า? สิ่งที่หมุนเกิดแล้วดับหรือเปล่าจึงหมุน?

อาช่า: ธรรมะเกิดแล้วดับ และสิ่งที่มีการเกิดแล้วก็ดับค่ะ

ท่านอาจารย์: นี่เป็นการที่จะเริ่มเข้าใจว่า ธรรมะเกิดดับๆ ๆ ๆ ไม่สิ้นสุด หมุนไปตลอด

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: เข้าใจแล้วใช่ไหม เดี๋ยวนี้ใช่ไหม?

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้เข้าใจธรรมะแล้วยัง?

อาช่า: ยังค่ะ

ท่านอาจารย์: นี่เป็นเหตุที่ฟังเพื่อเข้าใจธรรมะ ไม่ว่าจะสูตรไหน

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: ขอเชิญคุณคำปั่นให้ความหมายของคำนี้เต็มๆ ทั้งหมด ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เราพูดคำว่า ธัมมะ พูดคำว่า จักกะ แต่ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ดีนะ ศึกษาธรรมะเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ คำที่ใช้

อ.คำปั่น: ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ก็คือ มีคำว่า ธัมมจัก มีคำว่า กัปปวัตตนะ และก็ สูตตะ พระสูตรที่ยังกงล้อแห่งธรรมะให้เป็นไปครับ นี่คือความหมายของ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ซึ่งก็เป็นการแสดงพระธรรมครั้งแรกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

คำว่า ธัมมจัก นี่ก็ละเอียกมาก ที่ทรงแสดงไว้ใน ปฐมคตสูตร ซึ่งก็ชื่อเดียวกันครับ คือหมายถึง ปัญญาที่แทงตลอดในสภาพธรรมตามความเป็นจริง แล้วก็ ปํญญาที่เป็นไปในการแสดงความเป็นจริงของสภาพธรรม ครับ

คุณสุคิน: ตรงนี้ผมขอถาม อ.คำปั่น สรุปแล้วความหมายของ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร หมายถึงปัญญาที่รู้ความจริงด้วยใช่ไหม?

อ.คำปั่น: ใช่ครับ พระองค์ก็ประจักษ์แจ้งความจริงก่อนแล้วใช่ไหมครับ แล้วพระองค์ก็ทรงแสดงธรรมะให้เป็นไป ก็คือทั้ง ปฏิเวธญาณ ก็คือปัญญาที่แทงตลอดธรรมะตามความเป็นจริง แล้วก็ เทศนาญาณ ก็คือปัญญาที่เป็นไปในการแสดงความเป็นจริงของสภาพธรรมะครับ

คุณสุคิน: อ.คำปั่นครับ ปวัตตนะ ตรงนี้หมายถึงอะไรครับ

อ.คำปั่น: ปวัตตนะ ก็คือให้เป็นไปครับ

ขอเชิญอ่านได้ที่..

๗. ธรรมจักกกถา ว่าด้วยธรรมจักร

ขอเชิญฟังได้ที่ ...
(
แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1954)

www.dhammahome.com/cd/topic/147/5


กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดี และกราบยินดีในกุศลของ อ.คำปั่น ค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เมตตา
วันที่ 6 ก.ค. 2568

ท่านอาจารย์: เราไม่ได้พูดภาษาบาลี เราไม่รู้ความหมายของคำ แต่สามารถจะรู้ความจริงได้ทุกภาษา

เพราะฉะนั้น การแสดงธรรม ไม่ใช่พูดตามคำ พูดคามคำแต่ไม่เข้าใจความหมายเลยใช่ไหม?

อาช่า: เป็นไปได้ที่เราใช้คำถูก ทุกอย่างถูก

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ไม่ว่าในภาษาไหนเพื่อเข้าใจความจริง

ถ้าพูดตามคำแปล แต่ไม่รู้จักธรรม จะเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสได้ไหม? สิ่งที่มีเดียวนี้ทั้งหมดเป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง เกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย จริงไหม?

อาช่า: จริงค่ะ

ท่านอาจารย์: แต่ไม่จบ มีธรรมะที่เกิดต่อทุกขณะ ธรรมะเมื่อกี้นี้ดับแล้วไม่กลับมาอีก แต่เดี๋ยวนี้มีธรรมะที่เกิดอีก แล้วก็ดับไปอีก

นี่คือความหมายของธัมมจักร ไม่ว่าจะใช้คำว่าเหมือนล้อของธรรม ก็คือเกิดแล้วก็ดับเกิดแล้วก็ดับหมุนไปไม่จบ

เพราะฉะนั้น ฟังธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเพื่ออะไร?

อาช่า: เพื่อเข้าใจค่ะ

ท่านอาจารย์: เข้าใจอะไร?

อาช่า: เข้าใจธรรมะ สิ่งที่มีจริงค่ะ

ท่านอาจารย์: เพื่อเข้าใจธรรมะเดี๋ยวนี้เกิดดับไม่รู้จบ

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: ธรรมะเกิดดับตั้งแต่เกิด เดี๋ยวนี้กำลังเกิดดับ เกิดเห็น เกิดได้ยิน เกิดได้กลิ่น เกิดลิ้มรส เกิดรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เกิดคิดนึก สลับ แล้วก็ตื่น

จบหรือยัง?

อาช่า: ยังไม่จบค่ะ

ท่านอาจารย์: เมื่อไหร่จะจบ?

อาช่า: เมื่อบรรลุนิพพานค่ะ

ท่านอาจารย์: แล้วจะบรรลุได้อย่างไร?

คุณสุคิน: ท่านอาจารย์ครับ อาช่าอ่านเคร่าๆ แล้วก็อ่านเจอการเจริญบารมีด้วย เมื่อกี้ท่านอาจารย์ถามว่า หนทางที่จะไปถึงนิพพานคืออะไร เขาก็ตอบว่า เดินทางที่เกี่ยวกับการดับกิเลส ผมก็เลยบอกว่าทำไมไม่พูดว่า ทางของการเจริญปัญญา ไปพูดในนัยยะว่าดับ เขาบอกว่าเพราะว่ามันไม่ใช่แค่ปัญญาอย่างเดียวที่อ่านมา พูดถึงบารมีด้วย เพราะฉะนั้น จะพูดว่าเป็นหนทางของปัญญาก็ไม่พอครับ

ท่านอาจารย์: ก็เลยไปกันใหญ่ ศึกษาธรรมไม่ใช่ไปกันใหญ่

อาช่า: ไปกันใหญ่ นี่ก็มีเหตุผลว่า ใกล้ถึงวันอาสาฬหบูชาแล้ว ก็จะต้องไปพูด แล้วก็ตามประสบการณ์คนจะถามเยอะ เพราะฉะนั้น ถ้าความรู้น้อยไปในนัยยะส่วนต่างๆ ของพระสูตรนี้ จะทำให้ไม่สามารถตอบคนอื่นได้ เพราะฉะนั้น จึงอยากจะให้ท่านอาจารย์พูดถึงทุกอย่างที่อยู่ในพระสูตรนี้

ท่านอาจารย์: เพื่อจะพูดตามใช่ไหม?

อาช่า: เท่าที่ตัวเองเข้าใจก็จะพูดตามนั้น แต่ก็จะพยายามให้เข้าใจมากที่สุดที่ทำได้

ท่านอาจารย์: พูดตามที่เรากำลังพูดอย่างนี้ดีกว่าไหม?

อาช่า: ใช่ มันก็จริง แต่ว่าถึงเวลานั้นแล้วคนถามถามหลายอย่าง แล้วไม่สามารถ อย่างน้อยควรจะมีความรู้หน่อย แม้ว่าพูดไปตามนี้แล้วเราเข้าใจและเห็นค่า แต่คนอื่นอาจจะไม่เห็น

ท่านอาจารย์: คนถามรู้อะไรไหม?

อาช่า: เข้าใจว่า วิธีที่ท่านอาจารย์เกื้อกูลพวกเรานี้เป็นวิธีที่ถูกที่สุดแล้ว

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ทำอย่างนี้ดีไหม?

เพราะฉะนั้น วันสำคัญทุกวัน ก็คือเป็นวันที่ได้รู้จักธรรมะ มีคำว่า ธัมมจักร ต้องให้เขารู้จักธรรมะ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 6 ก.ค. 2568

เพราะฉะนั้น วันสำคัญทุกวัน ก็คือเป็นวันที่ได้รู้จักธรรมะ มีคำว่า ธัมมจักร ต้องให้เขารู้จักธรรมะ

คุณอาช่าจะพูดธรรมะวันอาสาฬหบูชาเพื่ออะไร?

อาช่า: เพื่อให้คนเข้าใจธรรมะค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เขาไม่รู้จักธรรมะ ก็เริ่มให้เขาเข้าใจก่อน คนส่วนใหญ่ประมาทความลึกซึ้งของธรรมะ

รู้ไหม ถ้าไม่รู้ความลึกซึ้งของธรรมะ ไม่มีวันจะรู้จัก ธรรมะเลย

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าวันไหน หรือวันอาสาฬหบูชา ก็เพื่อให้รู้จักธรรมะให้เข้าใจธรรมะทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น วันนั้น และวันอาสาฬหบูชาเป็นวันที่คุณอาช่าจะแนะนำให้คนได้รู้จักความลึกซึ้งของธรรมะ ไม่อย่างนั้นเขาจะฟังเรื่องธรรมะแต่ไม่รู้จักธรรมะเลย เริ่มต้นเดี๋ยวนี้ค่ะ คุณอาช่าก็เริ่มกับเขาเหมือนเริ่มเดี๋ยวนี้ เพื่อปลูกฝังความเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมะ

ไม่ต้องรีบร้อนพูดอะไรมากมายโดยไม่เข้าใจธรรม

เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่พูดเรื่องธรรมะ เป็นการเตือนให้เห็นความลึกซึ้งของธรรมะ

เดี๋ยวนี้มีอะไร?

อาช่า: มีเห็น

ท่านอาจารย์: เห็นมีจริงไหม?

อาช่า: มีจริงค่ะ

ท่านอาจารย์: เห็นเป็นอะไร?

อาช่า: เป็นธรรมะ เป็นนามธาตุที่รู้ที่เกิดแล้วดับ

ท่านอาจารย์: เห็นเดี๋ยวนี้คืออะไร?

อาช่า: เป็นธรรมะ

ท่านอาจารย์: ธรรมะคืออะไร ธรรมะมีเยอะเยะ ทำไมเห็นเป็นธรรมะ?

อาช่า: เพราะว่าเกิดตอนนี้ค่ะ

ท่านอาจารย์: รู้จักเห็นแล้วยัง?

อาช่า: ยังค่ะ

ท่านอาจารย์: นั่นล่ะ จะได้รู้ว่า กำลังเห็นก็ไม่รู้จักเห็น

เพราะฉะนั้น จะให้พูดเรื่องอื่น หรือให้เข้าใจเห็นจนรู้จักเห็น

อาช่า: ควรจะเข้าใจสิ่งที่มีจริงตอนนี้

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ไม่ไปไหนใช่ไหม?

อาช่า: ค่ะ ไม่ไปไหน

ท่านอาจารย์: เพราะกำลังเห็น ก็ยังไม่รู้จักเห็น แล้วจะไปไหน? ถ้าพูดเรื่องเห็นอีก ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เป็นประโยชน์ไหม?

อาช่า: เป็นค่ะ

ท่านอาจารย์: นี่คืออริยสัจจธรรม ๓ รอบ ฟังให้รู้ว่าเห็นคืออะไรอย่างละเอียดยิ่ง

เห็น ลึกซึ้งไหม?

อาช่า: ลึกซึ้งค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะอะไรจึงลึกซึ้ง?

อาช่า: ลึกซึ้งที่ว่าเกิดอยู่ก็ไม่เข้าใจค่ะ

ท่านอาจารย์: เห็นเกิดแล้วเห็นดับ ไม่รู้ แล้วจะรู้ได้ไหม?

อาช่า: รู้ได้ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จะรู้ได้เพราะมีจริงเป็นปัญญาบารมี ปัญญาบารมีรู้อื่น หรือรู้เห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เพิ่มขึ้น

อาช่า: รู้สิ่งที่มีจริงตอนนี้ค่ะ

ท่านอาจารย์: ปัญญาบารมีเข้าใจเห็น จนกระทั่งรู้จักเห็นใช่ไหม?

อาช่า: ใช่ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความเข้าใจ เห็น เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จะเป็นบารมีให้ประจักษ์เห็นที่กำลังเกิดดับได้ไหม?

อาช่า: ถ้าไม่เจริญความเข้าใจก็ไม่ถึงระดับนั้นค่ะ

ท่านอาจารย์: ถ้าอ่านพระไตรปิฎกจบ พระสูตรเป็นเรื่องๆ จบ แต่ไม่รู้จักเห็นเดี๋ยวนี้ เป็นบารมีหรือเปล่า?

อาช่า: เป็นไปไม่ได้ค่ะ

ท่านอาจารย์: เริ่มรู้จักธรรมะ รู้ว่าต้องเข้าใจธรรมะ นั่นคือปัญญาบารมี

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: ธรรมะไม่ได้มีแต่เห็น ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมะทั้งหมด เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เข้าใจธรรมะจริงๆ แต่ละหนึ่งอย่าง จะประจักษ์แจ้งความจริงของธรรมะได้ไหม?

อาช่า: ไม่ได้ค่ะ

ท่านอาจารย์: แน่ใจไหม?

อาช่า: แน่ใจค่ะ

ท่านอาจารย์: นั่นเป็นสัจจบารมี ถ้าความเข้าใจไม่เปลี่ยนที่จะต้องมั่นคง ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจความจริงถึงที่สุดที่กำลังเป็นธรรมะที่เกิดดับ นั่นคือหนทาง เป็นอริยสัจจธรรมที่ ๔ ในอริยสัจจธรรม ๔

เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังเข้าใจอย่างนี้เป็นความเข้าใจอริยสัจจธรรมใช่ไหม?

อาช่า: ใช่ค่ะ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 6 ก.ค. 2568

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ที่คุณอาช่ากำลังเข้าใจเดี๋ยวนี้ ก็จะช่วยให้คนอื่นได้เข้าใจอย่างนี้ด้วย นี่คือธัมมจักกัปปวัตตนสูตรใช่ไหม?

อาช่า: ค่ะ

ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ เพียงพูดเรื่องธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นธัมมกัปปวัตตนสูตรจริงๆ หรือเปล่า?

อาช่า: ถ้ารู้แต่คำ ก็ไม่สามารถพูดได้ว่า กำลังพูดถึงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรค่ะ

ท่านอาจารย์: เป็นประโยชน์ไหม?

อาช่า: เป็นค่ะ

ท่านอาจารย์: เมื่อคุณอาช่าเข้าใจประโยชน์ของการฟังธรรมะ ก็เป็นวันที่คุณอาช่าจะให้คนที่มาฟังในวันอาสาฬหบูชา ได้เข้าใจประโยชน์ที่แท้จริงการฟังธรรมะด้วย

เพราะฉะนั้น ต้องเป็นความเข้าใจของคุณอาช่าเอง จึงจะสามารถทำให้คนอื่นเห็นประโยชน์เข้าใจธรรมะได้

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ตอนนี้มีอะไรที่คุณอาช่าอยากจะสนทนาให้เข้าใจ ก็เชิญถามได้เลย

อาช่า: เรื่องธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อริยสัจจ์ ๔ อยากจะคุยเรื่องนี้ต่อ สัจจ์ที่ ๑ อริยสัจจ์ที่ ๒ เราสนทนากันก่อนหน้านี้แล้ว ขอท่านอาจารย์ต่อเรื่องอริยสัจจ์ที่ ๓ และอริยสัจจ์ที่ ๔ ค่ะ

ท่านอาจารย์: ก็ดีนะ ที่ฟังแล้วรู้ว่าเราพูดแล้วเรื่องอริยสัจจ์ที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔

เพราะฉะนั้น อริยสัจจ์ที่ ๓ ต้องต่างกับ ๑ ๒ ๔ ใช่ไหม? พูดเพื่ออะไร?

อาช่า: เพื่อความเข้าใจค่ะ

ท่านอาจารย์: ง่ายจัง!! เพื่อให้รู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นอริยสัจจะที่ ๑ และอริยสัจจะที่ ๒ ที่หมุนไปไม่หยุดเลย เห็นโทษไหม? เห็นโทษของอะไร?

เพราะฉะนั้น ฟังธรรมแล้ว เห็นโทษของธรรมะที่เกิดดับหยุดไม่ได้แล้วหรือยัง?

อาช่า: เห็นโทษน้อยมากแค่ขั้นคิดค่ะ

ท่านอาจารย์: ก็ยังดีกว่าไม่เห็นใช่ไหม ถ้าเข้าใจขึ้น ค่อยๆ เห็นโทษเพิ่มขึ้นใช่ไหม?

อาช่า: ถ้าเข้าใจเพิ่มขึ้นก็จะเห็นโทษมากขึ้นค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จะเห็นโทษของเดี๋ยวนี้ที่กำลังเกิดดับไม่หยุดไหม?

อาช่า: ค่ะ ฟังธรรมะเพื่อเจริญความเข้าใจถึงโทษของสิ่งที่เกิดแล้วดับค่ะ

ท่านอาจารย์: ฟังเท่านี้ เห็นโทษแค่นี้ ใช่ไหม?

อาช่า: ยิ่งเข้าใจก็ยิ่งเห็นโทษค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เข้าใจเพียงเท่านี้พอไหม?

อาช่า: เท่านี้ไม่พอค่ะ

ท่านอาจารย์: นี่เป็นเหตุต้องฟังทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจขึ้น จนกว่าจะเข้าใจว่า พระองค์กำลังทรงแสดงความจริงของเดี๋ยวนี้

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้มีคุณอาช่าไหม?

อาช่า: ไม่มีค่ะ

ท่านอาจารย์: แล้วมีอะไร?

อาช่า: มีแต่ธรรมะ

ท่านอาจารย์: อย่างนี้ทุกทีเลย ถามทีไรก็ธรรมะ

อาช่า: มีเสียงค่ะ

ท่านอาจารย์: เสียงเป็นคุณอาช่าหรือเปล่า?

อาช่า: ไม่ใช่ค่ะ

ท่านอาจารย์: เสียงเป็นนกหรือเปล่า?

อาช่า: ไม่ใช่ค่ะ

ท่านอาจารย์: เสียงเป็นอะไร?

อาช่า: เป็นรูปที่เกิดแล้วต้องดับค่ะ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้มีรูปอะไร?

อาช่า: มีเสียงค่ะ

ท่านอาจารย์: มีอะไรอีก?

อาช่า: มีกาย มีแข็ง มีร้อน

ท่านอาจารย์: เกิดดับหรือเปล่า?

อาช่า: เกิดดับ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้หรือเปล่า?

อาช่า: เดี๋ยวนี้ค่ะ

ท่านอาจารย์: รู้ได้ไหม?

อาช่า: รู้ได้ค่ะ

ท่านอาจารย์: จะรู้ได้อย่างไร?

อาช่า: หนทาง ก็คือหนทางอย่างที่เราทำอยู่นี่ ก็คือฟังธรรมสนทนาธรรมความเข้าใจเพิ่ม

ท่านอาจารย์: อริยสัจจธรรมที่ ๔ ใช่ไหม?

อาช่า: ใช่ค่ะ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 6 ก.ค. 2568

ท่านอาจารย์: ถ้าไม่ใช่อริยสัจจ์ที่ ๔ เป็นอริยสัจจ์ที่ ๒ ใช่ไหม?

อาช่า: ใช่ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น กำลังมีอริยสัจจธรรมที่ ๒ หรืออริยสัจจธรรมที่ ๔?

อาช่า: อริยสัจจ์ที่ ๒ ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น นี่กำลังเป็นธัมมจักกัปปวัตตนสูตรหรือเปล่า?

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: ไม่รู้จบ จนกว่าจะรู้หนทางที่จะจบ และจบคืออะไร?

อาช่า: จบนี่ ก็คือหมดกิเลส ก็คือนิพพานค่ะ

ท่านอาจารย์: ก็เป็นอริยสัจจธรรมที่ ๓ ถ้าเพียงบอกชื่อไม่เข้าใจแน่ แต่ต้องเข้าใจก่อน แล้วจึงจะรู้ว่า ชื่ออะไร ที่ไหน อย่างไร

ผู้ที่รู้จักอริยสัจจธรรมที่ ๓ ถึงอริยสัจจธรรมที่ ๓ มีไหม?

อาช่า: พระพุทธองค์ค่ะ

ท่านอาจารย์: เท่านั้นหรือ?

คุณสุคิน: อาช่าบอกว่าทุกคนที่ในสมัยพระพุทธองค์ที่ฟังแล้วบรรลุนิพพานขั้นอรหัตตมรรค ดูเหมือนเขาไม่ได้คำนึงถึงพระอริยบุคคลอีก ๓ ที่ได้บรรลุครับ

ท่านอาจารย์: ก่อนจะถึงพระอรหันต์ ต้องอะไรก่อน?

อาช่า: ต้องพระอนาคามีก่อน ก่อนพระอนาคามีต้องพระสกทาคามีก่อน ก่อนพระสกทาคามีต้องพระโสดาบันก่อน

ท่านอาจารย์: และก่อนพระโสดาบัน?

อาช่า: ก่อนพระโสดาบันเป็นปุถุชนค่ะ

ท่านอาจารย์: แล้วจากปุถุชนจะเป็นพระโสดาบันได้อย่างไร?

อาช่า: หนทาง ก็คือฟังธรรมะเจริญความเข้าใจค่ะ

ท่านอาจารย์: พูดชัดๆ

อาช่า: หนทาง ก็คือปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธะค่ะ

ท่านอาจารย์: อยู่ไหน?

อาช่า: ความหมายก็คือว่า ความเข้าใจสิ่งที่ปรากฏแต่ละระดับค่ะ

ท่านอาจารย์: ขั้นไหน ระดับไหน ของความเข้าใจ?

อาช่า: เมื่อไหร่เกิดเข้าใจ ก็เป็นปริยัติค่ะ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เมตตา
วันที่ 6 ก.ค. 2568

ท่านอาจารย์: ถามว่าความเข้าใจเดี๋ยวนี้อยู่ขั้นไหน ระดับไหน?

อาช่า: ขั้นปริยิติค่ะ

ท่านอาจารย์: รู้จักปริยัติอะไรบ้าง?

อาช่า: เริ่มเข้าใจค่ะ

ท่านอาจารย์: เข้าใจอะไรบ้างทีละหนึ่ง เดี๋ยวนี้มีอะไร?

อาช่า: เห็น มีจริงเป็นธรรมะ

ท่านอาจารย์: รู้จักธรรมะ ๑ แล้ว ๑ เดียวเอง

อาช่า: สี ตา ได้ยิน

ท่านอาจารย์: ๑) เห็น ๒) สี ๓) ตา ๔) ได้ยิน

อาช่า: มีจับโทรศัพท์มือถือ

ท่านอาจารย์: ได้อย่างไร โทรศัพท์มือถือได้อย่างไร? นับใหม่ทีละหนึ่ง

๑) เห็น ๒) สี ๓) ตา ๔) ได้ยิน ๕) เสียง ๖) ๗) เจ็บ ๘) กลิ่น ๙) รส ๑๐) รู้กลิ่น ๑๑) ฆนปสาทะ ๑๒) กายปสาทะ

อาช่า: มีคิด

ท่านอาจารย์: คิด เป็นอะไร?

อาช่า: เป็นจิต

ท่านอาจารย์: ๑๓) จิต

อาช่า: แค่นี้ก่อนค่ะท่านอาจารย์ เวลานี้เป็นว่า จะให้นึกถึงแล้วตอบ หรือว่าจะให้เข้าใจสิ่งที่..

ท่านอาจารย์: ไม่ใช่ๆ ให้รู้ว่ามีธรรมอะไร มีก็ไม่รู้ไม่ได้บอกทั้งๆ ที่กำลังมี

แล้วนี่จะรู้จักธรรมะหรือ แค่นี้พอหรือ?

อาช่า: มีเคลื่อนไหวค่ะ

ท่านอาจารย์: เคลื่อนไหวเป็นอะไร?

อาช่า: ธาตุลมค่ะ

ท่านอาจารย์: ๑๔) ธาตุลม

อาช่า: ความรู้สึกค่ะ

ท่านอาจารย์: ความรู้สึกอะไร?

อาช่า: ความรู้สึกที่ดีที่ฟังธรรมแล้วมีความสุข

ท่านอาจารย์: ไม่ใช่.. ความรู้สึกอะไร รู้สึกอย่างไร?

อาช่า: ความสุขค่ะ

ท่านอาจารย์: ความรู้สึกเป็นสุขใช่ไหม?

อาช่า: ใช่ค่ะ

ท่านอาจารย์: ๑๕) ความรู้สึกเป็นสุข แล้วอะไรอีก?

อาช่า: จำ

ท่านอาจารย์: ๑๖) จำ

อาช่า: มีความโกรธค่ะ

ท่านอาจารย์: ๑๗) โกรธ

อาช่า: ความไม่รู้

ท่านอาจารย์: ๑๘) ความไม่รู้

อาช่า: ความเป็นตัวตน

ท่านอาจารย์: ๑๙) ทิฏฐิ

อาช่า: สัมผัสทางกายค่ะ

ท่านอาจารย์: เป็นอะไร?

อาช่า: เป็นจิตเป็นธรรมที่รู้

ท่านอาจารย์: ๒๐) กายวิญญาณ

อาช่า: ตอนนี้รู้สึกหิวค่ะ

ท่านอาจารย์: หิวเป็นอะไร เห็นไหม ถ้าไม่พูดจะรู้จักไหม?

อาช่า: หิวเป็นความรู้สึกค่ะ

ท่านอาจารย์: รู้สึกอะไร?

อาช่า: เป็นทุกขเวทนาค่ะ

ท่านอาจารย์: ถูกต้อง ทางกาย ๒๑) ทุกขกายวิญญาณ

เพราะฉะนั้น มีทุกอย่าง แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมะ ก็เป็นเรา

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: กว่าจะรู้ว่า หิวไม่ใช่เรา หิวเป็นหิว

หิว เป็นธัมมจักกัปปวัตตนสูตรหรือเปล่า?

อาช่า: เป็นค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เวลาที่คุณอาช่าจะให้คนเข้าใจ คุณอาช่าก็ต้องให้เขาเข้าใจธรรมะ ไม่ใช่ไปบอกเขาว่าธัมมจักกัปปวัตตนสูตรคืออะไร แล้วเขาไม่รู้

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: คุณอาช่าหิวแล้วยัง?

อาช่า: หิวค่ะ

ท่านอาจารย์: หิวไม่จบค่ะ หิวแล้วก็หิวอีกๆ ไม่สิ้นสุด

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: จนกว่าจะเห็นโทษของทุกอย่างที่เกิดดับสืบต่อไม่รู้จบ

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้เป็นทุกข์ไหม?

อาช่า: เป็นค่ะ

ท่านอาจารย์: ทุกข์อะไร?

อาช่า: อย่างเช่น เห็นเกิดแล้วดับค่ะ

ท่านอาจารย์: ทุกข์อะไร?

อาช่า: เป็นอริยสัจจ์ที่ ๑ ค่ะ

ท่านอาจารย์: เป็นอริยสัจจ์ที่ ๑ ที่เป็นทุกขทุกขะ

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: อยากจะพ้นหรือยัง?

อาช่า: ธรรมดาของคนที่ยังเข้าใจน้อย อยากจะไม่มี แต่ว่าการที่อยากจะไม่มีก็ไม่ได้เป็นหนทางค่ะ

ท่านอาจารย์: ฟังไปๆ ๆ ๆ จนกว่าจะเห็นโทษ

อาช่า: ค่ะ

ท่านอาจารย์: เป็นอริยสัจจะหรือเปล่า?

อาช่า: เป็นค่ะ

ท่านอาจารย์: สัจจะไหน?

อาช่า: อริยสัจจ์ที่ ๔ ค่ะ

ท่านอาจารย์: ถูกต้อง ยินดีด้วยในกุศลของทุกคน

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nattawan
วันที่ 7 ก.ค. 2568

ยินดีในกุศลวิริยะค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
มังกรทอง
วันที่ 8 ก.ค. 2568

แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ