ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๒๐

 
khampan.a
วันที่  8 มิ.ย. 2568
หมายเลข  50130
อ่าน  2,690

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๒๐





~
การฟังธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีประโยชน์สูงสุดในชีวิต มีค่าสูงสุด และเวลาของการฟัง น้อยกว่าอกุศลมากมาย ในสังสารวัฏฏ์ก็รู้เลยว่าก็เหมือนอย่างนี้แหละ แต่ก็ยังมีโอกาสได้ฟังเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริงว่า เวลาของอกุศลมากมายมหาศาลทุกวันด้วยแม้ในชาตินี้ชาติเดียว แต่เวลาของกุศลน้อยมาก เพราะฉะนั้น ประโยชน์จากการฟังต้องรู้จักการฟังว่าฟังเพื่อพิจารณา ไตร่ตรองความละเอียดลึกซึ้งของธรรม

~ ฟังเพื่อเข้าใจธรรม ไม่ใช่ฟังเพื่อเราจะจำจะเข้าใจจะพยายามที่จะรู้แจ้งธรรม แต่ฟังเพื่อเข้าใจธรรม เพราะกำลังมีธรรม ไม่ขาดธรรมเลย เป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น เป็นธรรมทั้งหมดเข้าใจอะไรบ้าง ก็ต้องเป็นผู้ตรง สัจจบารมี เห็นความหนาแน่นของอวิชชาความไม่รู้นำมาซึ่งพฤติกรรมกิเลสต่างๆ ติดข้องทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกอย่าง ทุกทาง ทุกเรื่องทุกวันที่ปรากฏ นานมาแล้ว เพราะฉะนั้น อวิชชาจะมหาศาลสักแค่ไหน

~ วันสำคัญในสังสารวัฏฏ์ คือ วันที่มีโอกาสได้ฟังคำที่ทำให้มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีซึ่งก่อนนั้นไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงของทุกวันทั้งวันแต่ละหนึ่งขณะได้ แต่นี่ไม่ว่าจะวันไหน เมื่อมีความเข้าใจถูกต้อง ก็รู้ว่าวันที่ประเสริฐที่สุดคือวันเริ่มที่จะได้มีความเห็นที่ถูกต้องในความจริง

~
ชีวิตประจำวันทั้งหมดจะสังเกตได้ว่าทุกคนต้องมีอกุศลในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชาติหนึ่งชาติใด วันหนึ่งวันใด เหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์ใดก็ตาม ขณะที่ไม่จริงใจ และเสแสร้งแม้เพียงเล็กน้อย ขณะนั้นก็เป็นอกุศล ถ้าไม่มีใครบอก ถ้าไม่มีใครเตือน จะรู้ไหมว่าเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน ก็เป็นอกุศลในรูปแบบต่างๆ ทั้งนั้น แม้แต่เพียงความไม่จริงใจ แม้เพียงการเสแสร้งเพียงเล็กๆ น้อยๆ ในขณะนั้นก็เป็นอกุศล

~
ผู้ที่จะอบรมเจริญเมตตา ต้องเป็นผู้ละเอียดที่จะรู้ว่า ขณะใดเป็นโลภะ และขณะใดเป็นเมตตาที่แท้จริงซึ่งไม่ใช่โลภะ เพราะฉะนั้น ผู้ใดก็ตามที่เคยเป็นที่รัก ที่สนิทสนม ที่คุ้นเคย เป็นญาติสนิท เป็นมิตรสหาย และความรู้สึกผูกพันที่ท่านมีต่อบุคคลนั้นท่านก็สังเกตได้ว่า ขณะนั้นยังไม่ใช่เมตตา แต่เป็นความผูกพัน เป็นลักษณะเป็นอาการของโลภะ ถ้าเป็นเมตตาจริงๆ ต้องเสมอเหมือนกันหมด ในบุคคลซึ่งเคยเป็นที่รักและบุคคลอื่น ความรู้สึกเป็นมิตรอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นความรู้สึกผูกพันอย่างโลภะ

~
ถ้าเห็นคนที่กำลังโกรธจริงๆ เห็นอาการประทุษร้ายจิตใจที่กำลังเกิดขึ้นกับบุคคลนั้น เห็นโทษทันทีเวลาที่เห็นความโกรธของบุคคลอื่น และตัวเองเมื่อเห็นโทษอย่างนั้น ยังอยากจะโกรธเหมือนอย่างนั้นหรือ ในเมื่อกำลังเห็นอาการของความโกรธ

*** ~
การเกิดมาแล้วก็ต้องตายนั้นก็เป็นธรรมดาที่แน่นอนที่สุด แต่ว่าเมื่อตายจากการเป็นมนุษย์แล้วจะเกิดที่ไหนต่อไปนั้นก็เป็นสิ่งที่น่าคิด เพราะว่าถ้าในที่ที่มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนา มีโอกาสได้ฟังธรรมอีก มีโอกาสที่จะเจริญกุศลได้อีก ความตายจากการเป็นมนุษย์ในโลกนี้ก็ไม่น่าหวาดหวั่นอะไร แต่ถ้าตายแล้วเกิดในที่ที่ไม่ดี ไม่มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนา ไม่มีโอกาสได้ฟังธรรม ไม่มีโอกาสเจริญกุศลอย่างในโลกมนุษย์นี้แล้ว ก็น่าเสียดายเหลือเกิน***

~
ทุกนาทีของการมีชีวิตเป็นมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างที่สุด ควรที่จะได้รู้ความจริงของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏทุกๆ ขณะ เพราะชีวิตก็สั้นมาก โดยมากก็ไม่ถึงร้อยปี และไม่มีใครประกันความตายได้เลยว่าจะมาถึงเมื่อไรแน่

~ ทุกท่านที่ได้เข้าใจพระธรรมก็เห็นความสำคัญของขันติ คือ ความอดทนที่จะต้องเพียรศึกษา ฟังพระธรรม ไตร่ตรองพระธรรมต่อไป และ ยังต้องมีความจริงใจต่อการที่จะศึกษาและประพฤติปฏิบัติตามธรรมซึ่งเป็นบารมีต่อไป

~
ไม่มีอะไรที่จะประเสริฐเท่ากับการรู้แจ้งความจริงของธรรมทั้งหลายซึ่งเป็นสัจจธรรมที่พระผู้มีพระภาคเองทรงแสวงหาตลอดเวลาที่เป็นพระโพธิสัตว์ และเมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงแสดงหนทางจริงที่จะทำให้สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมและดับกิเลสได้จริงๆ แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรงและจริงใจ

~ เมื่อพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดับขันธปรินิพพานแล้ว พระธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์ จริงใจต่อพระธรรมหรือเปล่า ถ้าเป็นผู้ที่จริงใจ ต่อพระธรรม ก็คือศึกษาพระธรรมด้วยความจริงใจเพื่อเข้าใจพระธรรมให้ถูกต้อง นี่คือความจริงใจในการศึกษาพระธรรม การศึกษาพระธรรมไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย ไม่ใช่เพื่อลาภ ไม่ใช่เพื่อสักการะ ไม่ใช่เพื่อสรรเสริญ แต่เพื่อให้เข้าใจพระธรรมให้ถูกต้อง ให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้ถูกต้อง เพื่ออะไร เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อละความไม่รู้ ไม่ใช่เพียงเพื่อรู้ หรือเก่งหรือเพื่อความสำคัญตน

~ เป็นคนนี้ชาตินี้ คนนี้ชาตินี้เป็นอย่างไรบ้าง เป็นอย่างไรบ้าง? ถ้าไม่ฟังธรรมเลย จะรู้ไหมว่าเป็นอย่างไรบ้าง? เขาโกรธ เขาว่าเรา เราไม่พอใจ ไหน ... ความไม่ดีอยู่ไหน? อยู่ที่เขาหรือ? กว่าจะรู้ว่าอยู่ที่เรา แล้วสะสมทำไม โกรธเขาทำไม เพราะฉะนั้น ปัญญาเท่านั้นที่จะไม่เป็นไปตามสิ่งที่ชาวโลกไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ควรจะละ แต่จะละจริงๆ ก็ต่อเมื่อเห็นถูกต้องว่าไม่มีเรา

~ เราหวังร้ายต่อมิตรไหม? เรากล่าวร้ายต่อมิตรไหม? เพราะฉะนั้น มิตรนำแต่สิ่งที่ที่ดีมาให้ เพราะฉะนั้น เราเป็นมิตรที่ดีของใครบ้างหรือเปล่า? ไม่ต้องหวังให้เขามาเป็นมิตรที่ดีกับเราหรอก ตัวเรานั่นแหละเป็นบ้างไหมอย่างที่คนอื่นเขาก็หวังที่จะให้เราเป็น เพราะฉะนั้น แม้แต่ความเป็นมิตรดีให้อะไร ถึงจะเป็นที่สุดของสิ่งที่มีค่าที่จะให้มิตรได้ ก็คือ ความเห็นถูกความเข้าใจถูกในสิ่งที่ลึกซึ้งซึ่งถ้าไม่อาศัยผู้ที่ได้ตรัสรู้แล้วทรงแสดง ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้

~ เพื่อนโกรธเพื่อนได้ไหม? โกรธขณะไหน ไม่ใช่เพื่อนในขณะนั้น ไม่ว่าเขาเป็นใคร โกรธใครก็ตาม คนนั้นไม่ใช่เพื่อน ขณะนั้นไม่มีเมตตา แต่ก็เป็นสิ่งที่ยาก ไม่ใช่ง่าย เพราะเหตุว่า อกุศลสะสมมามากมายมหาศาล พระธรรมเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งที่แท้จริงเมื่อเข้าใจ แล้วก็จะรู้ว่าทุกคำเป็นประโยชน์มหาศาลจริงๆ ที่สามารถที่จะทำให้สิ่งที่เคยเกิดมากๆ ก็เกิดน้อยลงจนกระทั่งในที่สุดก็สามารถที่จะไม่เกิดอีกเลยได้ในสิ่งที่ไม่ดี

~
เคยโกรธ ใช่ไหม ทุกคนจะต้องกระทบกับอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจบ้างในวันหนึ่งๆ บางท่านอาจจะเป็นอารมณ์ที่รุนแรง บางท่านอาจจะนิดๆ หน่อยๆ ความขุ่นใจ หรือความไม่พอใจในบุคคลหนึ่งบุคคลใด ถ้าขณะนั้นสติสัมปชัญญะไม่เกิด ไม่มีการรู้สึกตัว ไม่รู้ว่าขณะนั้นเป็นอกุศลธรรม วิริยะก็ไม่มีโอกาสที่จะเปลี่ยนจากอกุศลธรรมเป็นกุศลธรรม ก็ยังคงมีฉันทะ มีความพอใจ มีความยินดีที่จะให้เป็นอกุศลต่อไป

~
เราเห็นคนที่เดือดร้อนมากในโลกในที่กันดารประเทศที่ไม่มีอาหาร อะไรๆ ทุกข์ยากต่างๆ ไม่มีเหตุเป็นอย่างนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้น มีความมั่นใจว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น ต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัย และพฤติกรรมทั้งหมดในชาตินี้ก็จะเป็นอดีตชาติของชาติหน้า เรารู้ชัดเจนไม่ต้องไปนั่งคิดว่าชาติก่อนเราทำอะไร เดี๋ยวนี้แหละชาติก่อนของชาติหน้า แล้วเราทำอะไรบ้าง ดีหรือชั่ว?

~ ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ เดี๋ยวนี้ก็ได้ ระหว่างเห็นกับได้ยินต้องมีจิตเกิดแทรกคั่นหลายขณะมาก แต่ขณะใดก็ตามซึ่งจิตเกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้เป็นบุคคลนี้ต่อไปไม่ได้เพราะจิตนั้นเกิดขึ้นทำกิจนั้นแล้วดับ เป็นปัจจัยให้จิตต่อไปเกิดตามกำลังของกรรมหนึ่ง ตามปัจจัยมากมายที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะฉะนั้น ใครจะรู้ พูดอยู่เดี๋ยวนี้ก็ตายได้ ได้หมด เพราะฉะนั้น จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม สิ่งใดที่จะเป็นประโยชน์ทำทันที รอไว้จะได้ทำไหม? ใครรู้ว่าจะได้ทำหรือไม่ได้ทำ?



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๑๙



... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
มังกรทอง
วันที่ 8 มิ.ย. 2568

กราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 8 มิ.ย. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Wisaka
วันที่ 9 มิ.ย. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 9 มิ.ย. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jaturong
วันที่ 9 มิ.ย. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nattawan
วันที่ 9 มิ.ย. 2568

วันสำคัญในสังสารวัฏฏ์ คือ วันที่มีโอกาสได้ฟังคำที่ทำให้มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีซึ่งก่อนนั้นไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงของทุกวันทั้งวันแต่ละหนึ่งขณะได้ แต่นี่ไม่ว่าจะวันไหน เมื่อมีความเข้าใจถูกต้อง ก็รู้ว่าวันที่ประเสริฐที่สุดคือวันเริ่มที่จะได้มีความเห็นที่ถูกต้องในความจริง

ยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Wisaka
วันที่ 22 มิ.ย. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
มังกรทอง
วันที่ 10 ต.ค. 2568

แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ