ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๒๒
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๒๒

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมด้วยพระมหากรุณา ไม่ว่าคนนั้นจะอยู่แสนไกล แต่ถ้ารู้ว่าเขาได้ฟังแล้วเขาเข้าใจ แล้วเขาสามารถที่จะรู้ความจริงได้ พระองค์เสด็จไปด้วยพระบาท เพื่อที่จะได้ให้คนนั้นมีโอกาสได้ฟัง แล้วเรามีโอกาสได้ฟัง จะฟังไหมเท่านั้นเอง? แต่ฟังพระธรรมครั้งใดก็ตาม ต้องฟังด้วยความเคารพ เพื่อรู้แล้วละ
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมให้คนอื่นรู้ จากอะไร? จากการฟังแล้วไตร่ตรองจนเป็นความรู้ ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น ความรู้ถูก ความเห็นถูกไม่ใช่ใคร แต่เกิดเพราะมีความเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง
~ จะต้องศึกษาทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ด้วยความจริงใจ ด้วยความตรงที่จะรู้ว่าถ้าเราขาดการไตร่ตรอง เราจะเข้าใจผิดซึ่งเป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้น จึงต้องศึกษาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
~ ความเข้าใจพระธรรมทำให้เป็นคนดีนี้แน่นอนที่สุด มีใครบ้างเข้าใจพระธรรมแล้วไม่ดี นั่นแสดงว่ายังไม่ได้เข้าใจพระธรรม เพราะฉะนั้น สำรวจตัวเองได้ ความเข้าใจพระธรรม ทำให้เป็นคนดีและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับทุกคนในการที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ พร้อมเพรียงกันทำสิ่งที่เป็นประโยชน์
~ อวิชชา เป็นสภาพที่มืด ทำให้ไม่รู้ความจริง ไม่เห็นว่าอกุศลเป็นอกุศล และไม่เห็นหนทางที่ถูกที่ชอบที่ควรจะกระทำ ทำให้คิดก็คิดผิด ทำก็ทำผิด พูดก็พูดผิด แต่ขณะใดที่ปัญญาเกิดขึ้น ขณะนั้นเห็นอกุศล และยังเห็นความน่ารังเกียจของอกุศล เห็นโทษของอกุศลตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ขณะนั้นเป็นผู้ที่คิดถูก ทำถูก พูดถูก
~ ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นได้ เพราะฉะนั้น สัจจะที่มั่นคงในความถูกต้อง ก็จะทำให้ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ จะให้ผิดมาเป็นถูกไม่ได้ แล้วสิ่งที่ถูกแล้วจะบอกว่าผิดก็ไม่ได้ นี่คือสัจจะ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความตรง ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ เดี๋ยวนี้เป็นธรรม ถ้าไม่ได้ฟังธรรม ทุกขณะก็ผ่านไปด้วยความไม่รู้ เดี๋ยวนี้เป็นธรรม ไม่ต้องไปแสวงหา เกิดมาก็เป็นธรรม ตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกขณะเป็นธรรม จะรู้ไม่ใช่ไปรู้ที่อื่น แต่รู้ธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้
~ ไม่มีอะไรที่จะไปละความไม่รู้และความชั่วทั้งหลายได้ นอกจากความเข้าใจถูก เพราะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความไม่ประมาทและด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
~ แสวงหาเพราะต้องการ กำลังแสวงหาสุขหรือทุกข์? ได้มาแล้วก็หมดไป สุขหรือทุกข์? แล้วจริงหรือเปล่าตลอดชีวิต ค่อยๆ มั่นคงในความจริง เพราะเหตุว่าความไม่รู้ทำให้เป็นทุกข์แน่นอน เพราะติดข้องในสิ่งที่ไม่มีหมดแล้วก็ยังติดข้อง ฉลาดไหมหรือไม่ฉลาดเลย?
~ แม้ว่าจะได้ฟังพระธรรมและรู้จักอกุศลว่าเป็นอกุศล แต่ปัญญาที่ยังไม่ถึงขั้นที่จะละคลายกิเลสยังไม่เกิด ก็ไม่สามารถที่จะละคลายหรือดับกิเลสได้
~ "เราไม่ควรประทุษร้ายแม้แต่กับผู้ที่เป็นข้าศึกต่อเรา" พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ถ้าท่านพิจารณาและน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน จะเห็นได้ว่า ถ้าปฏิบัติตามได้ คิดอย่างนี้บ่อยๆ เป็นกุศลจิตของท่าน แต่สำหรับผู้ที่หวังร้ายต่อท่าน ก็เป็นอกุศลจิตของเขา
~ ผู้ที่เห็นว่าขณะใดจิตไม่เป็นกุศลก็ย่อมจะเป็นอกุศลแต่ละประเภทซึ่งละเอียดมาก แม้บางครั้งไม่เป็นเหตุให้กระทำกายวาจา แต่จิตใจในขณะนั้นก็เป็นอกุศล เมื่อเห็นความละเอียดของอกุศลอย่างนี้ จึงไม่รั้งรอที่จะบำเพ็ญความดีเท่าที่สามารถจะกระทำได้ ซึ่งแม้ว่าจะกระทำความดีสักเท่าไรๆ ก็ยังไม่พออยู่นั่นเอง เพราะว่าตราบใดที่ไม่กระทำความดี จิตก็ต้องเป็นอกุศล เพราะฉะนั้น ควรเจริญกุศลทุกประการ ด้วยการอบรมตนเองให้เป็นผู้ที่มีความอดทน คิดถึงคนอื่น แทนที่จะคิดถึงตนเองเสมอๆ ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ ก็มีโอกาสที่กุศลจิตจะเกิดมากกว่าอกุศล
*** ~ เวลาที่จะให้ใครสนใจธรรม อย่ามุ่งที่จะนำธรรมที่เราจะให้เขาสนใจไปพูด แต่ดูว่าชีวิตเขาเป็นอย่างไร เพราะว่าชีวิตของเขาก็เป็นธรรม ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แต่เป็นกุศลธรรม เป็นอกุศลธรรม เป็นวิบาก คือ ผลของกรรม ซึ่งเขาสามารถที่จะเข้าใจได้ และความรู้ความสนใจของเขาพร้อมที่จะรับธรรมขั้นไหน ก็ให้ธรรมที่สมควรแก่ความสนใจและความเข้าใจของเขา***
~ ต้องรู้จักตนเองตามความเป็นจริงว่า ท่านเป็นผู้ว่าง่ายหรือว่าว่ายาก ถ้าว่าง่าย ก็ง่ายต่อการที่จะเจริญกุศล แต่ถ้าว่ายาก ก็ยากเหลือเกินที่จะเห็นคุณของกุศล เพราะถ้าสะสมอกุศลธรรมมามาก ประกอบด้วยมานะ ความถือตน สำคัญตน ประกอบด้วยความเห็นผิด ยึดมั่นในความเห็นผิด แม้ว่าจะได้ยินได้ฟังสิ่งที่มีเหตุผลอย่างไร และรู้ด้วยว่าดี ว่าถูก แต่ก็ยังเป็นผู้ว่ายาก ไม่สามารถที่จะกระทำตามได้ ซึ่งก็เพราะอกุศลธรรมที่ได้สะสมมา ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตนเลย
~ เจรจาน่ารัก เกิดเพราะกุศลจิตที่ประกอบด้วยเมตตาได้ การเจรจาน่ารัก คือ ใช้คำที่ไม่กระทบกระเทือนจิตใจของบุคคลอื่น เป็นคำที่ฟังแล้วไม่แสบร้อนเหมือนคำที่ท่านอุปมาว่า เหมือนก้านบัวที่แยงเข้าไปในช่องหู ก้านบัวย่อมมีหนามขรุขระ เพราะฉะนั้น คำพูดที่ไม่น่าฟังก็เปรียบเหมือนกับก้านบัวที่แยงเข้าไปในช่องหู
~ เมื่อเห็นว่าเป็นอกุศล ก็จะเกิดหิริโอตตัปปะ รังเกียจทันทีในอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย แม้เพียงเล็กน้อยก็ควรจะเห็นตามความเป็นจริงว่า เป็นโทษ เป็นภัย
~ ต้องเป็นกุศลทั้งหมด จึงจะเป็นธรรมที่เป็นที่พึ่งได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ไม่ท้อถอยในการที่จะให้กุศลเกิดขึ้นแทนอกุศล อกุศลไม่ต้องทำอะไรเลย เกิดได้บ่อยๆ เกิดเรื่อยๆ เกิดขึ้นขัดขวางการกระทำกุศลหลายประการ เพราะฉะนั้น เวลาที่จะกระทำกุศลแต่ละครั้ง จะเห็นได้ว่า จะต้องมีความบากบั่น มั่นคง ไม่ทอดธุระในธรรมที่เป็นกุศล
~ ความยึดมั่นในรูปทั้งหลายที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจนั้น สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลส แต่ถ้าผู้ใดไม่มีกิเลสแล้ว แม้จะมีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ก็ไม่เป็นปัจจัยที่จะให้เกิดความยึดมั่น หรือความติดข้องในรูปนั้นๆ ได้ แต่ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ ที่จะไม่ให้เกิดความยินดีพอใจในรูปที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจนั้น เป็นไปไม่ได้
~ รูปเป็นรูป รูปไม่มีเจตนาที่จะให้ใครหลงใหล พอใจ ยึดมั่น แต่สภาพนามธรรม คือ โลภเจตสิก เป็นสภาพที่ติดข้อง ยินดีพอใจ ยึดมั่น ไม่ว่าจะเป็นรูปใดก็ตามที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ และไม่ใช่แต่เฉพาะในรูปเท่านั้น ไม่ว่าสภาพธรรมใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้น เป็นที่ยึดมั่น ยินดีพอใจของโลภเจตสิกได้ทั้งสิ้น
~ อกุศลทั้งหลายจะละหมดได้ ก็ต่อเมื่อปัญญารู้อกุศลนั้นตามความเป็นจริง ถ้าเห็นว่าอกุศลเป็นอกุศล ขณะนั้นเป็นปัญญา ซึ่งย่อมจะเห็นว่า น่ารังเกียจ เป็นโทษ และปัญญาขั้นต่อไป ก็คิดที่จะละคลายอกุศลที่น่ารังเกียจนั้นให้เบาบาง
~ ในชีวิตประจำวัน วันหนึ่งๆ เคยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คนอื่นบ้างไหม ในขณะนั้นมีความหวังดีที่จะให้เขาเป็นสุข เขายังไม่ได้มีความทุกข์อะไร แต่ท่านก็มีจิตเมตตาอนุเคราะห์ที่จะให้เขามีความสุข ขณะนั้นเป็นเมตตา มีความหวังดีต่อคนอื่น แต่ถ้าขณะใดบุคคลใดกำลังทุกข์ร้อน เดือดร้อน ท่านเกิดความกรุณาใคร่ที่จะให้บุคคลนั้นพ้นจากความทุกข์ มีการช่วยเหลือบุคคลที่ป่วยไข้ได้เจ็บ มีการรักษาพยาบาลบุคคลที่กำลังเจ็บป่วย นั่นคือ ความกรุณา ใคร่ที่จะให้บุคคลนั้นพ้นทุกข์
~ ถ้าเราไม่พูดสิ่งที่ถูกต้อง ชักชวนเขาในทางที่ผิด เราเป็นมิตรหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ว่าใครเป็นมิตร ถ้าเป็นคนที่ทำให้เข้าใจถูก จะเป็นผู้ที่มิใช่มิตรได้หรือ ในเมื่อเพราะหวังดีที่จะให้เข้าใจถูก จึงได้กล่าวคำที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นทราบไหมว่าใครเป็นมิตรที่ดีที่สุด? พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะอะไร? เพราะตรัสให้คนอื่นได้เข้าใจธรรมที่ถูกต้อง
*** ~ ถ้าเป็นอกุศล จะไม่เห็นโทษของอกุศลเลย แต่จะเป็นไปกับอกุศลด้วยความยินดี ด้วยความพอใจในอกุศลนั้นๆ เมื่อไม่เห็นว่าเป็นโทษ ไม่เห็นว่าเป็นภัย ก็ย่อมเพิ่มอกุศลนั้นยิ่งขึ้น***
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๒๑


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ
หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา
กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา
อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ

จะต้องศึกษาทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ด้วยความจริงใจ ด้วยความตรงที่จะรู้ว่าถ้าเราขาดการไตร่ตรอง เราจะเข้าใจผิดซึ่งเป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้น จึงต้องศึกษาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
ยินดีในกุศลวิริยะค่ะ





