ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๒๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๒๔
~ ทางเดียวที่จะละคลายโมหะได้ คือ อบรมสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับโมหะ คือ ปัญญา ให้เกิดขึ้นเพื่อรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง มิฉะนั้นแล้ว ถ้ายังมีความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมอยู่ จะไม่ให้มีโมหะ ไม่ให้มีโลภะ เป็นไปไม่ได้ หรือจะไม่ให้มีโมหะ ไม่ให้มีโทสะ ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น เมื่ออกุศลทุกอย่างปราศจากโมหะไม่ได้ การรบกับอกุศลธรรม ที่จะไม่ให้อกุศลธรรมเกิดได้จริงๆ ก็ปราศจากปัญญาไม่ได้เช่นเดียวกัน
~ ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้ความไม่รู้น้อยลงไปได้ นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำของพระองค์แสดงความจริงของสิ่งที่มีให้ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ไตร่ตรอง ค่อยๆ เข้าใจมั่นคงขึ้นว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
~ สภาพธรรมทุกอย่างที่เกิด เกิดเพราะเหตุปัจจัย ถ้าสติเกิดระลึกทันจะเห็นโทษของความโกรธ และรู้ว่าถ้ายังโกรธต่อ ต่อไปข้างหน้าความโกรธก็มีปัจจัยที่จะเกิดอีกมาก การที่ชาตินี้เป็นบุคคลที่โกรธตั้ง ๑๐ กว่าปี และยังไม่ลืม ก็เพราะว่าสะสมมาที่จะผูกโกรธและนึกโกรธบ่อยๆ เพราะฉะนั้น ต้องเคยเป็นอย่างนี้มาแล้ว
ถ้ายังไม่เห็นโทษ ชาติต่อไปก็จะต้องเป็นอย่างนี้อีก
~ ทุกชีวิตที่เกิดมาแต่ละภพแต่ละชาติ ไม่แน่นอนเลย มีการเปลี่ยนแปลง บางครั้งก็เป็นกุศล บางครั้งก็เป็นช่วงเวลาของอกุศล ซึ่งไม่มีใครสามารถรู้การสะสมของกุศลและอกุศลว่าในกาลไหนจะเป็นปัจจัยให้อกุศลเกิดมาก และในกาลไหนจะเป็นปัจจัยให้กุศลประเภทใดเกิดมาก เพราะฉะนั้น ไม่ควรประมาทในการเจริญกุศล
~ ความคิดของทุกๆ คน ก็ไม่มีใครสามารถเลือกได้ว่าจะให้คิดแต่ในเรื่องของกุศล หรือขณะที่คิดถึงบุคคลต่างๆ เรื่องต่างๆ อยากให้เป็นกุศลจิตที่คิด ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ต้องแล้วแต่เหตุปัจจัย กุศลหรืออกุศลจะเกิดขึ้นในขณะใด ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ ย่อมเป็นไปตามการสะสมทั้งสิ้น
~ ความมืดอื่นก็ยังมีแสงสว่างทำให้ความมืดนั้นจางลงได้ แต่มืดเพราะการไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ขณะนี้กำลังเป็นอย่างนี้ อาศัยอะไรจึงจะค่อยๆ รู้และสว่างขึ้น ก็โดยการได้ฟังพระธรรมซึ่งเป็นวาจาสัจจะ (คำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) และความเข้าใจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขณะนั้นก็เริ่มที่จะค่อยๆ ละความมืด
~ ไม่ว่าจะได้อะไรมาทรัพย์สินเงินทองมหาศาล เกียรติยศชื่อเสียง ความสุขความสบาย แล้วก็จากโลกนี้ไป อยู่ไหนสิ่งที่คิดว่าได้ เป็นของใคร ไม่มีของใครเลย เพราะความจริงคือเพียงแค่ปรากฏแล้วไม่เหลือเลย ไม่กลับมาอีกเลย หมดแล้ว จริงไหม สิ่งที่ปรากฏจะไม่กลับมาปรากฏอีกเลย กลับมาเกิดอีกไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น จะเป็นเราหรือจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดและจะเป็นของใครได้อย่างไร ค่อยๆ คิด
~ ที่เข้าใจว่า “ได้” นั้น อยู่ที่ไหน ใครได้อะไรบ้าง ก็เพียงเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องกระทบสัมผัส ตื่นเต้นสุขทุกข์ดีใจกับสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจแล้วทั้งหมดนั้น อยู่ที่ไหน ตลอดชีวิตอยู่ที่ไหน จบไปไม่เหลือเลย แล้วก็สะสมสิ่งที่น่ารังเกียจ (คืออกุศล) มากมายมหาศาลต่อไปอีก จนกว่าจะมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจพระธรรมและรู้จุดประสงค์ของการฟังว่าเพื่อละคลายอกุศล ยิ่งฟัง ก็ยิ่งเข้าใจ ยิ่งเห็นพระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าพระองค์ไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีมา ไม่มีทางเลยที่สัตว์โลกจะได้เข้าใจความจริงในฐานะของสาวก ประโยชน์สูงสุดที่ทุกคนจะพึงได้ คือ ความเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏนั่นเอง
*** ~ ถ้าเราจะมีเมตตาต่อคนดี ไม่ยาก เพราะเขาดี ใช่ไหม แต่ถ้าคนไม่ดี เป็นบทฝึกหัด เป็นบทพิสูจน์ เป็นเครื่องทดลองว่าเมตตาของเราเจริญขึ้นบ้างหรือเปล่า***
~ ธรรมฝ่ายดีก็ต้องตรงกันข้ามกับธรรมฝ่ายไม่ดี ปัญญาก็สามารถที่จะเห็นได้ว่าอะไรดีกว่ากัน สมควรที่จะอบรมเจริญให้มากขึ้น ไม่ใช่สะสมความไม่รู้ต่อไป
~ ผู้หวังดีก็จะมีคำที่เป็นประโยชน์ซึ่งเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คำของใครทั้งสิ้น ใครก็จะพูดเหมือนอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เลย และคำของพระองค์จะทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เมื่อใครก็ตาม ศึกษาพระธรรมแล้ว เห็นประโยชน์ ก็รู้ว่าควรที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย ดีไหม? หรือว่า ไม่ต้องพูดอะไรเลย ผิดก็ปล่อยให้ผิดไป ไม่แก้ไข?
~ ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมและเห็นคุณจริงๆ จะไม่ละเลยการที่จะไตร่ตรองและดำรงสิ่งที่มีค่าที่สุด เพราะว่าใครก็ตาม ถ้ามีความเห็นที่ถูกต้อง หวังที่จะให้คนอื่นเข้าใจด้วยไหม เราเป็นมิตรที่ดีเป็นเพื่อนที่ดีให้สิ่งที่ดีแก่กันมาก็มากแล้ว แต่ว่าให้สิ่งที่ที่สุดยิ่งกว่านั้นก็คือให้สิ่งซึ่งใครๆ ก็ให้ไม่ได้นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น พระธรรมของพระองค์แต่ละคำ จะรับหรือไม่รับ ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะเป็นอนัตตา (ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น)
*** ~ คฤหัสถ์พร้อมเพรียงกันศึกษาพระธรรมดำรงรักษาพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น ถ้าภิกษุใด ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย คฤหัสถ์ควรรู้ไหม ทุกคนมีหน้าที่ที่จะช่วยกันกล่าวพระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว เพื่อเป็นเครื่องเตือนให้ระลึกในความเป็นภิกษุจะต้องเป็นภิกษุ ไม่ใช่คฤหัสถ์ ไม่ใช่ปะปนกัน พระภิกษุจะมาเหมือนกับคฤหัสถ์ได้อย่างไร***
~ ถ้าบุคคลนั้นศึกษาพระธรรมโดยผิดจุดประสงค์ อาจจะเพื่อความสำคัญตน เพื่อชื่อเสียง เพื่อลาภยศ หรือแม้เพียงเพื่อสักการะ หมายความว่าธรรมที่ได้ฟังไม่ได้ไปชำระจิตใจของเขา เพราะว่าเขาตั้งใจไว้ผิดในการฟังพระธรรมในการศึกษาพระธรรม เพราะฉะนั้น เมื่อฟังแล้วก็ยิ่งมีความสำคัญตนขึ้น ถ้าสมมติว่าฟังแล้วเข้าใจธรรมจริงๆ คนนั้นจะลดอกุศลลงเอง เพราะเหตุว่าปัญญาเกิด
*** ~ เวลาที่ได้รับอกุศลวิบาก (ผลของอกุศลกรรม) ก็ต้องรู้ว่า ไม่ใช่คนอื่นทำให้เลย แล้วจะโกรธใคร ในเมื่อรู้ว่าต้องเป็นกรรมของท่านเองเท่านั้นที่ให้ผลเช่นนั้นเกิดขึ้น***
~ เวลาดี คือเวลาที่กุศลจิตเกิดขึ้นเป็นไป ไม่ใช่เวลาทำให้ดี แต่ดีเพราะกุศลเกิด ขณะที่กุศลจิตเกิด กาย วาจา ก็เป็นไปตามจิตที่เป็นกุศล
~ ชาติก่อนของชาตินี้ (คือ ชาติที่แล้ว) จะเกิดเป็นใครที่ไหนก็ตาม ก็สิ้นสุดความเป็นบุคคลนั้นอย่างสิ้นเชิงในชาตินั้นแล้ว และในชาตินี้ ก็ใกล้เข้ามาแล้วกับการที่จะสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้และไม่กลับมาเป็นบุคคลนี้อีกเลย
~ บุคคลที่สะสมมาดี ก็จะเป็นคนดี มีการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น มีเมตตา ไม่มักโกรธ เป็นต้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าสะสมมาไม่ดี ก็จะเป็นคนมักโกรธ ริษยา ตลอดจนมีความไม่ดีประการต่างๆ อีกมากมาย
~ เป็นคนดี ตรง จริงใจ ใครจะรักหรือไม่รัก ความผิดของเราหรือเปล่า? ในเมื่อเราจริงใจ ดี และเป็นมิตร ถ้าใครจะไม่ชอบ ก็ไม่ใช่ความผิดของเราเลย
*** ~ เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ประโยชน์คือรักษาใจไม่ให้อกุศลเกิด***
*** ~ เตรียมตัวตาย คือ ทำความดีทุกโอกาส เดี๋ยวนี้และขณะนี้***
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ 723

... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...

ความมืดอื่นก็ยังมีแสงสว่างทำให้ความมืดนั้นจางลงได้ แต่มืดเพราะการไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ขณะนี้กำลังเป็นอย่างนี้ อาศัยอะไรจึงจะค่อยๆ รู้และสว่างขึ้น ก็โดยการได้ฟังพระธรรมซึ่งเป็นวาจาสัจจะ (คำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) และความเข้าใจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ขณะนั้นก็เริ่มที่จะค่อยๆ ละความมืด
ยินดีในกุศลวิริยะค่ะ
แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ
หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา
กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา
อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ
ฟังแล้วเข้าใจธรรมจริงๆ อกุศลดลงเอง
ถ้าบุคคลนั้นศึกษาพระธรรมโดยผิดจุดประสงค์ อาจจะเพื่อความสำคัญตน เพื่อชื่อเสียง เพื่อลาภยศ หรือแม้เพียงเพื่อสักการะ หมายความว่าธรรมที่ได้ฟังไม่ได้ไปชำระจิตใจของเขา เพราะว่าเขาตั้งใจไว้ผิดในการฟังพระธรรมในการศึกษาพระธรรม เพราะฉะนั้น เมื่อฟังแล้วก็ยิ่งมีความสำคัญตนขึ้น ถ้าสมมติว่าฟังแล้วเข้าใจธรรมจริงๆ คนนั้นจะลดอกุศลลงเอง เพราะเหตุว่าปัญญาเกิด
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ





