ธรรมที่เป็นเครื่องอยู่

 
เมตตา
วันที่  14 พ.ค. 2568
หมายเลข  49938
อ่าน  499

[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 248

ทุติยวรรคที่ ๒

๑. อิจฉานังคลสูตร

ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะ

[๑๓๖๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ไพรสณฑ์ชื่อ อิจฉานังคละ ใกล้อิจฉานังคลนคร ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราปรารถนาจะหลีกเร้นอยู่สักสามเดือน ใครๆ ไม่พึงเข้ามาหาเรา เว้นแต่ภิกษุผู้นำบิณฑบาตรูปเดียว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ใครๆ ไม่เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เว้นแต่ภิกษุผู้นำบิณฑบาตรูปเดียว.

[๑๓๖๔] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่เร้นโดยล่วงสามเดือนนั้นแล้ว ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกจะพึงถามเธอทั้งหลายอย่างนี้ว่า ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย พระสมณโคดมอยู่จำพรรษาด้วยวิหารธรรมข้อไหนมาก เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงตอบพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกนั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่จำพรรษาด้วยสมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติมาก.

[๑๓๖๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรามีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาวก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาวก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้นก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้นก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น ย่อมรู้ชัดว่า เราจักกำหนดรู้กองลมหายใจทั้งปวงหายใจออก ... ย่อมรู้ชัดว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความสละคืนหายใจออก ย่อมรู้ชัดว่า เราจักพิจารณาเห็นโดยความสละคืนหายใจเข้า.

[๑๓๖๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเมื่อจะกล่าวถึงสิ่งใดโดยชอบ พึงกล่าวถึงสิ่งนั้นว่า ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะบ้าง ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพรหมบ้าง ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระตถาคตบ้าง ดังนี้ พึงกล่าวถึงสมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติว่า ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะบ้าง ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพรหมบ้าง ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระตถาคตบ้าง ภิกษุเหล่าใดเป็นเสขะยังไม่บรรลุอรหัตตผล ย่อมปรารถนาความเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยมอยู่ สมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติ อันภิกษุเหล่านั้นเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ.

[๑๓๖๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเหล่าใดเป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ มีกิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงแล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ สิ้นสังโยชน์เครื่องนำไปสู่ภพแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ สมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติ อันภิกษุเหล่านั้นเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน และเพื่อสติสัมปชัญญะ.

[๑๓๖๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเมื่อจะกล่าวถึงสิ่งใดโดยชอบ พึงกล่าวถึงสิ่งนั้นว่า ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะบ้าง ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพรหมบ้าง ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระตถาคตบ้าง ดังนี้ พึงกล่าวถึงสมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติว่า ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะบ้าง ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพรหมบ้าง ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระตถาคตบ้าง.

จบอิจฉานังคลสูตรที่ ๑


อ.อรรณพ: มีประการหนึ่งที่ท่านอาจารย์ได้สนทนาเรื่อง ธรรมที่เป็นเครื่องอยู่ ซึ่งตามความเป็นจริงของผู้ที่ฟังพระธรรม พอที่จะได้เข้าใจพระธรรมบ้าง เป็นความจริงครับ ที่อยู่ด้วยความไม่รู้ สิ่งที่ปรากฏ ซึ่งก็อยู่มานานแสนนานครับ อยู่ด้วยการที่ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็น อกุศล เป็นส่วนใหญ่ จะมีกุศลเกิดบ้าง แต่กุศลนั้นก็ยังไม่มีกำลังพอที่จะรู้ตรงจนปรากฏชัดสิ่งที่กำลังปรากฏครับ จากชีวิตที่อยู่มาด้วยการไม่รู้สิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริงด้วยอกุศลบ้าง ด้วยกุศลบ้าง

การที่จะค่อยๆ อยู่ด้วย ธรรมที่เป็นเครื่องอยู่ที่ดีงาม และนำไปสู่การที่จะประจักษ์ความจริงจริงๆ จนกว่าที่จะต้องเกิดมาเป็นอยู่อย่างนี้ครับท่านอาจารย์ กราบเท้าท่านอาจารย์ได้เมตตากล่าวด้วยครับ

ท่านอาจารย์: ทุกคนก็ทราบว่า กำลังอยู่เดี๋ยวนี้ แต่ไม่รู้ว่า อะไรอยู่ เพราะฉะนั้น เรื่องทั้งหมด ก็คือว่าไม่รู้อะไรเลย ไม่ว่าขณะไหน ชาติไหน จนกว่าจะได้ฟังความจริงจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ได้ทรงตรัสรู้ความจริงของทุกสิ่ง ไม่ลืมนะ ทุกคำถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง

เพราะฉะนั้น เครื่องอยู่ ก็คือทำให้อยู่จนถึงเดี๋ยวนี้ วันนี้ ขณะนี้

เพราะฉะนั้น เครื่องอยู่คืออะไร จิต เจตสิก รูป อาศัยกันและกันทำให้เกิดขณะจิตหนึ่ง อยู่ชั่ว ๑ ขณะจิต ไม่ว่าขณะจิตนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม

เพราะฉะนั้น ใครจะรู้ว่า ๑ ขณะนี้แสนสั้นหลากหลายด้วยปัจจัยที่ปรุงแต่ง ตั้งแต่นานแสนนานจนถึงวันนี้ ก็ปรุงแต่งให้หลากหลายต่อไปอีกในอนาคต

เพราะฉะนั้น ฟังอย่างนี้เข้าใจความจริง ค่อยๆ มั่นคงลึกซึ้งว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เปลี่ยนไม่ได้เลย ธรรมะ สิ่งที่มีจริงทั้งปวงเป็นอนัตตา

คำว่า อนัตตา นี่เหลือเชื่อ เพราะว่า เดี๋ยวนี้เป็นอัตตาทั้งหมด หน้าต่าง ประตู ที่นอน ต้นไม้ แม่น้ำ โต๊ะ เก้าอี้ ล้อมรอบหมดทุกวัน ไม่ได้เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ซึ่งความจริงจากการที่ได้ฟังคำของพระองค์ ไม่รีบร้อนไปไหนเลย ไม่ต้องรีบที่จะไปทำอะไรให้ประจักษ์แจ้งความจริง เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่า ความไม่รู้นานแสนนานแสนโกฏกัปป์ ความติดข้องในทุกอย่างที่กำลังมี ความยึดถือผิดว่าเป็นเรา เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ มากมายมหาศาล

เพราะฉะนั้น ฟัง คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ด้วยการไตร่ตรองในความเป็นจริง เดี๋ยวนี้กำลังอยู่แน่ๆ เมื่อไหร่? เห็น ขณะนั้น ถ้าไม่อยู่จะเห็นไหม? แต่เห็นแล้วดับ

เพราะฉะนั้น แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะเข้าใจในความมั่นคงอย่างลึกซึ้ง พระองค์ตรัสทุกคำ เพื่อให้คนอื่นได้ไตร่ตรอง ได้เข้าใจความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ถึงที่สุดโดยประการทั้งปวงจนมั่นคง แน่ใจว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เป็นธรรมทั้งหมด ซึ่งเป็น แต่ละหนึ่งธรรม ที่ละเอียดอย่างยิ่ง

ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ ไม่ว่าจะศึกษาคำใดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ไม่สามารถเข้าถึงความเป็นสิ่งที่ละเอียดเพียงหนึ่ง ลึกซึ้งอย่างยิ่ง

เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่า เครื่องอยู่ ก็ต้องรู้ว่า ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมอะไรบ้าง อาศัยกันและกันเกิดขึ้น อย่าลืมนะ ทุกคำ อาศัยธรรมซึ่งเป็นกันและกันแต่ละหนึ่งเกิดขึ้น เกิดขึ้น อาศัยเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดแล้วดับทันที ขัดกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า? เมื่อพิจารณาไตร่ตรองโดยละเอียดโดยลึกซึ้งทุกคำ ประมาณความไม่รู้เกินน้ำในมหาสมุทร เกินท้องฟ้าจักรวาลทั้งหลาย ซึ่งแม้แต่เทพบุตรที่ต้องการรู้การสิ้นสุดของจักรวาล เป็นถึงเทพบุตรอายุเท่าไหร่ ไม่ว่าตลอดอายุก็ไม่สามารถจะพบที่สุดของจักรวาลได้

เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดของสิ่งทั้งปวงในสากลจักรวาล ทรงแสดงความจริงของแต่ละสิ่งให้คนที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย อยู่ในโลกของอัตตามานานเท่าไหร่ ค่อยๆ เข้าใจความหมายของคำว่า ธรรม ค่อยๆ เข้าใจความลึกซึ้งของคำว่า อนัตตา จนกว่า ทุกอย่างที่เคยเป็นอัตตาจะไม่เหลือ เพราะเป็นอนัตตา นี่แหละคือเครื่องอยู่ ตั้งแต่เป็นกิเลสอกุศล จนกระทั่งได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเข้าใจมั่นคงในความลึกซึ้ง เพราะความจริงเป็นอย่างนี้ แต่ยังไม่ประจักษ์ แต่กว่าจะประจักษ์ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี และตามที่ชีวิตแต่ละชาติของพระสาวกบำเพ็ญมาแล้ว จึงสามารถที่จะค่อยๆ ละความไม่รู้ ซึ่งปิดบังสิ่งที่กำลังปรากฏทุกขณะ จนกว่าจะถึงกาละที่ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา อยู่อย่างนี้หรือเปล่า? หรืออยู่เหมือนเดิมไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ได้แต่จำชื่อ จำจำนวน แต่ไม่รู้ว่า ทั้งหมดกำลังมีเดี๋ยวนี้ใกล้ที่สุด แต่ไม่เคยระลึกได้เลย เพราะขาดการที่จะเข้าใจความจริง

ถ้าเป็นแต่เพียง จำชื่อ จำคำ จำความหมาย จะอยู่โดยไม่มีเครื่องอยู่ได้ไหม?

อ.อรรณพ: ไม่ได้ครับ ต้องมีเครื่องอยู่ทุกขณะจิตครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น แล้วแต่ว่า เครื่องอยู่ขณะนี้เป็นอะไร แบบไหน ทำให้อยู่อย่างไร

ขอเชิญอ่านได้ที่ ...

ว่าด้วยเจ้าศากยะนันทิยะทูลถามถึงธรรมเป็นเครื่องอยู่ [นันทิยสูตร]

ขอเชิญคลิกฟังได้ที่ ...

ปฐมฌาน - ธรรมเครื่องอยู่เป็นสุข ไม่ใช่ธรรมเครื่องขัดเกลา

ธรรมเครื่องอยู่ของพระอริยสาวกต่างจากพระพุทธเจ้า

อนุสสติ ๖ ธรรมเครื่องอยู่ของพระโสดาบัน

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
มังกรทอง
วันที่ 15 พ.ค. 2568

สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 15 พ.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณมากค่ะน้องเมตตายินดียิ่งในกุศลทุกประการนะคะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ