[คำที่ ๗๑๕] โลกานุคฺคห

 
Sudhipong.U
วันที่  4 พ.ค. 2568
หมายเลข  49870
อ่าน  405

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ โลกานุคฺคห

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

โลกานุคฺคห อ่านตามภาษาบาลีว่า โล - กา - นุก - คะ - หะ มาจากคำว่า โลก ( สัตว์โลก ) กับคำว่า อนุคฺคห ( อนุเคราะห์, เกื้อกูล ) รวมกันเป็น โลกานุคฺคห แปลว่า อนุเคราะห์สัตว์โลก ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่ดีงาม ที่มุ่งทำประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เมื่อกล่าวถึงบุคคลผู้เกิดมาเพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลกอย่างสูงสุด ไม่มีใครจะเสมอเหมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย ส่วนผู้ที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นสาวกของพระองค์ เป็นผู้ที่มีปัญญา เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ก็เป็นผู้ที่อนุเคราะห์สัตว์โลกได้ ตามกำลังปัญญาของตน แต่ไม่สามารถเท่ากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย

ข้อความในสัทธรรมปกาสินี อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค แสดงความเป็นจริงของคำว่า อนุเคราะห์สัตว์โลก ( โลกานุคฺคห ) ดังนี้

บทว่า ปญฺจวคฺคิเย ภิกษุปัญจวัคคีย์ (มีพวก ๕) คือ พวกของภิกษุ ๕ ดังที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า พระมหาเถระ ๕ เหล่านี้ คือ พระโกณฑัญญะ ๑ พระภัททิยะ ๑ พระวัปปะ ๑ พระมหานาม ๑ พระอัสสชิ ๑ ท่านเรียกว่า ภิกษุมีพวก ๕ ชื่อว่า ปัญจวรรค ชื่อว่า ปัญจวัคคีย์ เพราะเนื่องในพวก ๕ นั้น. บทว่า ภิกฺขู อามนฺเตสิ (ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย) ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีจำเดิมแต่สะสมอภินิหาร ณ บาทมูลของพระทศพลพระนามว่าทีปังกร จนบรรลุภพสุดท้ายโดยลำดับ ในภพสุดท้ายเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงถึงโพธิมณฑลโดยลำดับ ประทับนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์ ณ โพธิมณฑลนั้น ทรงกำจัดมารและพลมาร ทรงระลึกถึงปุพเพนิวาสญาณในปฐมยาม ในมัชฌิมยามทรงยังทิพยจักษุให้บริสุทธิ์ ในที่สุดปัจฉิมยามทรงยังหมื่นโลกธาตุให้บันลือก้องกัมปนาท ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ล่วงไป ๗ สัปดาห์ ณ โพธิมณฑล ท้าวมหาพรหมทูลวิงวอนขอให้ทรงแสดงธรรม ทรงตรวจตราสัตว์โลกด้วยทิพยจักษุ เสด็จไปกรุงพาราณสี เพื่อทรงอนุเคราะห์สัตว์โลก มีพระประสงค์จะให้ภิกษุปัญจวัคคีย์ยอมรับแล้ว ทรงยังธรรมจักรให้เป็นไป จึงตรัสเรียก.


บุคคลผู้ที่ประเสริฐที่สุดในโลก ไม่มีผู้ใดเปรียบได้เลย คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสรู้สิ่งที่มีจริงตรงตามความเป็นจริงโดยชอบด้วยพระองค์เอง กว่าที่พระองค์จะได้ตรัสรู้นั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมีคุณความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งแห่งการดับกิเลสมาตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสนกัปป์ ซึ่งเป็นเวลาที่นานมาก เมื่อได้ตรัสรู้แล้วก็ทรงมีพระมหากรุณาที่จะเกื้อกูลสัตว์โลกด้วยการทรงแสดงพระธรรมให้ได้เข้าใจความจริง พระมหากรุณาคุณของพระองค์ที่มีต่อสัตว์โลก คือ ทรงแสดงพระธรรมให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง จากที่สัตว์โลกเคยเป็นผู้มากไปด้วยกิเลสประการต่างๆ ก็สามารถที่จะขัดเกลาละคลายและดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น ด้วยปัญญาอันเกิดจากการได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง การที่พระองค์ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงซึ่งเป็นธรรม ให้คนอื่นได้รู้ได้เข้าใจด้วย เป็นพระคุณอันสูงสุดยิ่งของพระองค์ที่มีต่อสัตว์โลก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงพระธรรมประกาศความจริงให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย จึงมีผู้ที่อบรมเจริญปัญญาสามารถที่จะรู้แจ้งความจริงตามพระองค์ได้

ถ้าพุทธบริษัทมีความเข้าใจอย่างนี้ จะเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ด้วยพระปัญญาที่สามารถแทงตลอดความจริงของสภาพธรรม ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เมื่อพระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงพิจารณาว่าสัตว์โลกมากไปด้วยความไม่รู้และกิเลสทั้งหลาย ถ้าไม่มีผู้อนุเคราะห์เกื้อกูลด้วยการแสดงความจริง ไม่มีทางที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกจะเกิดขึ้นได้เลย พระองค์จึงทรงแสดงพระธรรม ด้วยพระหฤทัยที่ประกอบด้วยความอนุเคราะห์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ไกลแสนไกลเพียงใด แต่ว่าได้สะสมเหตุที่ดีมาที่จะได้รับประโยชน์จากพระธรรมพระองค์ก็เสด็จไปเพื่อทรงแสดงพระธรรม โดยที่ไม่คำนึงว่าบุคคลนั้นเป็นใคร อยู่ที่ไหน เมื่อพระองค์สามารถจะช่วยให้เขาพ้นจากความมืดสนิทและกรงกิเลสของสังสารวัฏฏ์ได้ ก็ทรงเกื้อกูลด้วยการทรงแสดงพระธรรม

แต่ละคนที่เข้าใจพระธรรม ย่อมจะซาบซึ้งในความอนุเคราะห์เกื้อกูลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเป็นผู้ที่มั่นคงที่จะรู้ว่ากว่าพระองค์จะทรงตรัสรู้ความจริง ต้องบำเพ็ญพระบารมีมากกว่าบุคคลอื่น ยากแสนยากเพียงใด และเมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้วก็ทรงประพฤติเกื้อกูลแก่สัตว์โลกด้วยการทรงแสดงพระธรรมมาโดยตลอด เป็นเวลานานถึง ๔๕ พรรษา ตั้งแต่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว จนกระทั่งถึงวาระที่พระองค์ใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ใครจะมีพระคุณยิ่งใหญ่เสมอเหมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ทำให้ความไม่รู้ของสัตว์โลกที่มีมานานมากในสังสารวัฏฏ์สามารถจะดับหมดได้ ? ซึ่งพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงนั้น ก็สืบทอดเรื่อยมาในแต่ละยุคแต่ละสมัยจนถึงยุคนี้สมัยนี้พร้อมที่จะให้ประโยชน์สูงสุดสำหรับผู้ที่เห็นคุณค่า

บุคคลผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ด้วยความเคารพละเอียดรอบคอบ ก็ย่อมจะได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงตามกำลังปัญญาของตนเองซึ่งเป็นการยากมากที่จะได้ฟัง และยากที่จะเข้าใจ แต่สามารถที่จะเข้าใจได้ คำที่พระองค์ตรัส นั้น ไม่มีแม้แต่คำเดียวที่ให้โทษ มีแต่เป็นคำจริง เป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูลให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกเท่านั้น ที่ควรค่าแก่การฟังการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น จึงควรเห็นประโยชน์ของความเข้าใจพระธรรม ซึ่งก็คือปัญญานั่นเอง อันจะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับชีวิต เป็นที่พึ่งทั้งในโลกนี้และในโลกหน้าด้วย เพราะที่พึ่งจริงๆ ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง เพราะ ทรัพย์สินเงินทอง ไม่ทำให้พ้นจากทุกข์ได้ ติดตามไปในโลกหน้าก็ไม่ได้ แต่ปัญญา สะสมสืบต่ออยู่ในจิต เป็นที่พึ่งได้ สามารถทำให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ และปัญญาจะเจริญขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เห็นพระคุณอันประเสริฐยิ่งของพระองค์ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานเป็นอย่างยิ่งในการอบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่วันสองวันหรือชาติสองชาติเท่านั้น

ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..

บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 4 พ.ค. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ