ภาษาบาลีสัปดาห์ละคำ [คำที่ ๗๑๖] จิตฺตสงฺกิเลส
ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “จิตฺตสงฺกิเลส”
โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย
จิตฺตสงฺกิเลส อ่านตามภาษาบาลีว่า จิด - ตะ - สัง - กิ - เล - สะ มาจากคำว่า จิตฺต (จิต, สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) กับคำว่า สงฺกิเลส (เศร้าหมอง) รวมกันเป็น จิตฺตสงฺกิเลส แปลว่า จิตเศร้าหมอง, จิตไม่สะอาด มีความหมายที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง หมายถึง ในขณะที่จิตเป็นอกุศล ถูกกิเลสที่เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตครอบงำ จึงทำให้จิตในขณะนั้นเป็นจิตที่เศร้าหมอง ไม่สะอาด ไม่บริสุทธิ์ ไม่ผ่องใส ความเศร้าหมอง ความไม่สะอาด ไม่ใช่อยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอก แต่เป็นเรื่องของจิตที่ประกอบด้วยกิเลส ไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะดูสกปรกหรือสะอาด แต่ถ้ากิเลสเกิดกับจิตเมื่อใด ก็ย่อมเศร้าหมองไม่สะอาดอยู่นั่นเอง ตามข้อความในสารัตถปกาสินี อรรถกถา สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค คัททูลสูตร ดังนี้
“ก็สัตว์ทั้งหลาย แม้อาบน้ำดีแล้ว ก็ชื่อว่าเศร้าหมอง เพราะจิตเศร้าหมองนั่นแล แต่ว่า แม้ร่างกายจะสกปรก ก็ชื่อว่าผ่องแผ้วได้ เพราะจิตผ่องแผ้ว”
แต่ละบุคคลที่เกิดมานั้นว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรม กล่าวคือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) และ รูป (สภาพธรรมที่ไม่ใช่สภาพรู้) ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตได้ ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้อกุศลธรรมเกิดขึ้นเป็นไป และถ้ามีกำลังมากก็สามารถล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ มีการประทุษร้าย เบียดเบียนผู้อื่นด้วยกาย ด้วยวาจา เป็นต้น และเป็นที่น่าพิจารณาอีกว่า แต่ละบุคคลสะสมอกุศลมามาก เพราะความเป็นปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลสซึ่งได้สะสมมาอย่างยาวนานในสังสารวัฏฏ์ เมื่อได้ศึกษาพระธรรม ก็จะค่อยๆ เห็นว่า ส่วนใหญ่แล้วชีวิตประจำวันจะเป็นไปกับอกุศลธรรมมากทีเดียว ด้วยโลภะ (ความติดข้อง) บ้าง โทสะ (ความโกรธ, ความขุ่นเคืองใจ) บ้าง เป็นต้น ตลอดเวลาที่จิตไม่ได้เป็นไปในการให้ทาน ไม่ได้เป็นไปในศีล (คือเว้นในสิ่งที่ควรเว้นและประพฤติในสิ่งที่ควรประพฤติ) และไม่ได้เป็นไปในการอบรมเจริญปัญญาจากการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน จิตก็จะเป็นอกุศลโดยส่วนใหญ่ ความเศร้าหมองเกิดแล้วในขณะที่จิตประกอบด้วยกิเลส เป็นอกุศล
เป็นธรรมดาที่ว่า เมื่อได้เหตุปัจจัยอกุศลก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง อาจจะติดข้องมากๆ ก็ได้ อาจจะโกรธมากๆ ก็ได้ มีความประพฤติเป็นไปทางกาย ทางวาจาตามอำนาจของกิเลส เพราะยังไม่ได้ดับกิเลสนั่นเอง นี้คือความเป็นจริงของสภาพธรรม ซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ซึ่งจะเป็นผู้ประมาทไม่ได้เลยทีเดียว
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แสดงถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอกุศลธรรมหรือกุศลธรรม ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ปกติในชีวิตประจำวันของผู้ที่ยังมีกิเลส ยังถูกผูกมัดไว้ด้วยกิเลสประการต่างๆ จึงมีอกุศลจิตเกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดา และเกิดมากกว่ากุศลจิตด้วย โอกาสของกุศลน้อยมาก ถ้าเทียบกับขณะที่เป็นอกุศล ซึ่งถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็จะไม่มีความเข้าใจอะไรเลย
ตามความเป็นจริง กิเลส เป็นอกุศลธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี ไม่นำประโยชน์มาให้ใครเลย มีแต่จะนำทุกข์โทษภัยมาให้ในภายหลังเท่านั้น ขณะที่จิตเป็นอกุศลย่อมเร่าร้อนเดือดร้อน อยู่ไม่เป็นสุขเพราะกิเลสที่เกิดร่วมกัน เช่น โลภะ ความติดข้อง โมหะ ความหลง ความไม่รู้ เป็นต้น ซึ่งเป็นความเศร้าหมองของจิต เกิดขึ้นเมื่อใดก็ทำให้จิตเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส และถ้ามีกำลังถึงขั้นล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ เช่นฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น ยิ่งเร่าร้อนมาก กล่าวได้ว่า เร่าร้อนทั้งในขณะที่ทำอกุศลกรรมและเร่าร้อนทั้งในขณะที่ได้รับผลของอกุศลกรรมนั้นๆ ด้วย โดยที่ไม่มีใครทำให้เลย ในทางตรงกันข้าม ขณะที่จิตเป็นกุศล ย่อมผ่องใส ไม่ขุ่นมัว เพราะไม่มีกิเลสเกิดร่วมได้เลย เป็นจิตคนละประเภทกัน แต่จะมีสภาพธรรมฝ่ายดี เช่น ศรัทธา (สภาพธรรมที่ผ่องใส เลื่อมใสในกุศล) สติ (สภาพธรรมที่ระลึกเป็นไปในกุศล) หิริ (ความละอายต่ออกุศล) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อ อ กุศล) เป็นต้น เกิดร่วมด้วย เป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
การมีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นโอกาสที่หาได้ยากอย่างยิ่ง เมื่อมีโอกาสได้ฟังแล้ว มีความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นไปตามลำดับ ย่อมจะทำให้เป็นผู้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เห็นโทษเห็นภัยของอกุศล และเห็นคุณของกุศล ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ทั้งในกุศลและในอกุศลแม้จะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกื้อกูลให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ในขณะนี้ตรงตามความเป็นจริง ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา
ที่สำคัญต้องเป็นผู้ตรง แม้แต่ในการศึกษาพระธรรมก็เพื่อขัดเกลากิเลส ที่จะขัดเกลาได้ก็ต่อเมื่อรู้ความจริง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะทิ้งอกุศลที่สะสมมาในจิตของตัวเองออกหมดไปได้เลย นอกจากปัญญาที่ค่อยๆ เกิดขึ้น จะเห็นได้จริงๆ ว่า ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ที่เข้าใจว่าได้ อยู่ที่ไหน ใครได้อะไรบ้าง ก็เพียงเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ตื่นเต้น ดีใจ สุขทุกข์กับสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ แล้วทั้งหมดนั้นอยู่ที่ไหน ตลอดชีวิตอยู่ที่ไหน จบไปไม่เหลือเลย แล้วยังได้สะสมสิ่งที่น่ารังเกียจ คืออกุศลธรรมมากมายมหาศาลต่อไปอีก จนกว่าจะมีโอกาสได้ฟังพระธรรมได้เข้าใจพระธรรม แล้วรู้จุดประสงค์ของการฟังว่า เพื่อละคลายกิเลสซึ่งเป็นสิ่งที่เศร้าหมองสกปรก ไม่สะอาด ไม่บริสุทธิ์ ในจิตใจของตนเอง
เพราะฉะนั้น จึงขาดการฟังพระธรรม -ศึกษาพระธรรมไม่ได้ ทั้งหมดทั้งปวงนั้นเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ขัดเกลากิเลสซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่สะอาดในจิตใจของตนเองให้เบาบาง ตามความเจริญขึ้นของปัญญา จนกว่าจะถึงการดับได้ตามลำดับขั้น ซึ่งจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา ค่อยๆ เติมปัญญาซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่า เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดลงในจิต สะสมเป็นที่พึ่งต่อไป
ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..