[คำที่ ๗๑๗] อสรีร

 
Sudhipong.U
วันที่  15 พ.ค. 2568
หมายเลข  49942
อ่าน  307

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “อสรีร

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

อสรีร อ่านตามภาษาบาลีว่า อะ - สะ - รี - ระ มาจากคำว่า ศัพท์ปฏิเสธ (ไม่มี) กับคำว่า สรีร (รูปร่าง, สรีระ) [แปลง น เป็น อ] จึงรวมกันเป็น อสรีร เขียนเป็นไทยได้ว่า อสรีระ แปลว่า ไม่มีรูปร่าง, ไม่มีสรีระ เป็นอีก ๑ คำ ที่แสดงถึงความเป็นจริงของจิต ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ เป็นสภาพที่ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสรีระ ไม่มีรูปธรรมใดๆ เจือปนกับจิตเลย

ข้อความในธัมมปทัฏฐกถา อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ได้อธิบายความเป็นจริงของจิตว่าเป็นสภาพที่ไม่มีรูปร่าง ดังนี้

“สรีรสัณฐานก็ดี ประเภทแห่งสีมีสีเขียวเป็นต้นเป็นประการก็ดี ของจิต ย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้น จิต จึงชื่อว่า อสรีรํ”


ธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน เมื่อกล่าวโดยประมวลแล้ว ไม่พ้นไปจาก จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) และ รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย) แต่ละบุคคลที่เกิดมามีชีวิตดำเนินไปในแต่ละวันนั้น ก็เป็นธรรมทุกขณะ เพราะมีธรรมเหล่านี้ คือ จิต เจตสิก และรูป จึงสมมติเป็นคนนั้น คนนี้ เป็นสัตว์บุคคลต่างๆ ในสังสารวัฏฏ์อันยาวนาน แต่ละบุคคลก็เกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากความเป็นไปของสภาพธรรม คือ จิต เจตสิก และ รูป เพราะผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ยังมีตัณหา ยังมีอวิชชาซึ่งยังดับไม่ได้ ก็ยังต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป ประการที่สำคัญ คือ ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร มีอายุยืนนานเพียงใด ก็ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น จิตขณะหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นสืบต่อ จิตไม่สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันหลายๆ ดวงหรือหลายๆ ขณะได้ หรือ ไม่ใช่ว่าจะมีจิตดวงเดียวเกิดขึ้นเป็นสิ่งยั่งยืนตลอดไป เพราะตามความเป็นจริงแล้ว มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา อย่างไม่ขาดสาย เป็นลำดับด้วยดีไม่สับลำดับกัน ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ ทุกขณะของชีวิต ก็คือการเกิดดับสืบต่อกันของจิตนั่นเอง

ทุกคนมีจิต แต่ไม่รู้ความจริงว่าจิตคืออะไร จนกว่าจะมีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะจิตไม่มีรูปร่าง ไม่ใช่สี ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่กลิ่น ไม่ใช่รส จะได้ยินก็ได้ยินแต่เสียง จะไปได้ยินจิตย่อมไม่ได้ จะเห็นก็เห็นแต่สีสันวัณณะต่างๆ ไม่สามารถเห็นจิตได้เลย จิตเป็นสภาพรู้ ต่างกับสิ่งที่ไม่ใช่สภาพรู้อย่างสิ้นเชิง

จากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงแสดงว่ามีสภาพธรรมที่ต่างกันเป็น ๒ อย่าง คือ สภาพธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เป็นรูปธรรม และสภาพธรรมที่เป็นสภาพรู้ ได้แก่ จิต (และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) เพราะฉะนั้น จิตเป็นธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งแม้จะไม่มีรูปร่างอะไรเลย แต่ก็เป็นสภาพที่สามารถรู้สิ่งต่างๆ ได้ และเมื่อจิตเกิดขึ้นก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเสมอตามควรแก่จิตขณะนั้นๆ ในขณะนี้ถ้าเข้าใจจิตก็จะเริ่มรู้ว่า ขณะที่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึก นั่นคือ จิตซึ่งเป็นสภาพรู้ ถ้าจะเอารูปออกหมด เอาสีออกไปหมด ไม่เห็นอะไร เอาเสียงออกไป ไม่ได้ยินอะไร ไม่มีกลิ่นปรากฏ ไม่มีรสปรากฏ ไม่มีเย็น ร้อน อ่อน แข็งปรากฏ ก็ยังมีจิตที่คิดนึก ขณะใดที่คิดนึกเรื่องราวต่างๆ ขณะนั้นก็เป็นจิต เพราะฉะนั้นจิตประกอบด้วยเจตสิกฝ่ายดี ก็คิดดี จิตประกอบด้วยอกุศลเจตสิก ก็คิดไม่ดี ถ้าแยกสภาพธรรมออกเป็นลักษณะที่ต่างกันเป็นประเภทใหญ่ๆ ก็จะต้องมี ๒ ประเภท คือ นามธรรม เป็นจิต (รวมถึงเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย) และสภาพที่ไม่รู้อะไรเลย เป็นรูปธรรมคือไม่ใช่สภาพรู้

ชีวิตของแต่ละบุคคลที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีอยู่เท่านี้จริงๆ คือนามธรรมกับรูปธรรม ขณะนี้ทุกๆ วันกำลังดำเนินไปใกล้ซึ่งความตายเข้าไปทุกทีๆ ซึ่งไม่สามารถจะทราบได้ว่าจะถึงวันนั้นเมื่อใด เมื่อถึงวันนั้นจริงๆ ก็จักต้องสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ สูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งทรัพย์สมบัติ แก้วแหวนเงินทอง ความผูกพันกับบุคคลต่างๆ เป็นต้น แต่สิ่งที่สะสมอยู่ในจิตทุกๆ ขณะ คือ กุศลและอกุศล ไม่สูญหายไปไหน เป็นสภาพธรรมที่จะติดตามไปในภพต่อๆ ไปได้ แต่ถ้าเป็นขณะที่สำคัญขณะที่ประเสริฐแล้ว ก็ต้องเป็นขณะที่เป็นกุศลเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ความเข้าใจพระธรรม

การเดินทางในสังสารวัฏฏ์ยังอีกยาวไกล เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็ควรจะได้ประโยชน์จากการที่ได้เกิดมาอย่างยากแสนยากด้วยการสะสมกุศล สะสมความดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพราะในที่สุดแล้ว ทุกคนก็จะต้องละจากโลกนี้ไปอย่างแน่นอน ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อใด อาจจะเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็ได้ จะเป็นผู้ประมาทไม่ได้เลยทีเดียว และที่สำคัญ มีคนเป็นจำนวนมากทีเดียว ที่เกิดมาแล้วตายไปโดยที่ไม่ได้เข้าใจพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ความเข้าใจพระธรรมนี้เองที่จะเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลส ขัดเกลาความไม่รู้และความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล เป็นต้นได้ในที่สุด

ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..

บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 15 พ.ค. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ