[คำที่ ๗๑๓] เอกจร

 
Sudhipong.U
วันที่  24 เม.ย. 2568
หมายเลข  49819
อ่าน  376

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “เอกจร

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

เอกจร อ่านตามภาษาบาลีว่า เอ - กะ - จะ - ระ มาจากคำว่า เอก (หนึ่ง) กับคำว่า จร (เที่ยวไป) จึงรวมกันเป็นเอกจร แปลว่า เที่ยวไปดวงเดียว ในที่นี้ เป็นคำที่แสดงถึงความเป็นจริงของจิตว่าจิตเป็นสภาพที่มีจริง เมื่อเกิดขึ้นจิตจะไม่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันทีละหลายๆ ดวงหรือหลายๆ ขณะ แต่เกิดขึ้นทีละดวงหรือทีละขณะๆ เท่านั้น เมื่อจิตขณะหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไปก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ

ข้อความในธัมมปทัฏฐกถา อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ได้อธิบายความเป็นจริงของจิตว่าเป็นสภาพที่เที่ยวไปดวงเดียว ดังนี้

“อนึ่ง จิต ๗ - ๘ ดวง ชื่อว่าสามารถเกิดขึ้นเนื่องเป็นช่อโดยความรวมกันในขณะเดียว ย่อมไม่มี , ในกาลเป็นที่เกิดขึ้น จิตย่อมเกิดขึ้นทีละดวงๆ, เมื่อจิตดวงนั้นดับแล้ว, จิตดวงใหม่ก็เกิดขึ้นทีละดวงอีก เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า เอกจรํ”


พระพุทธประสงค์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีซึ่งหมายถึงคุณความดีมากมายมหาศาลที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส มาเป็นเวลายาวนานถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์ ตั้งแต่เมื่อยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์ก็เพื่อที่จะได้ตรัสรู้ (รู้อย่างแจ่มแจ้ง) ซึ่งสภาพธรรมที่มีจริง ด้วยพระองค์เอง แล้วทรงมีพระมหากรุณา แสดงสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสรู้ให้สัตว์โลกได้เข้าใจ เป็นคำในภาษามคธอันเป็นภาษาที่ดำรงรักษาพระพุทธศาสนา ซึ่งแต่ละชนชาติที่ไม่ได้ใช้ภาษานั้น ก็ฟังพระธรรมของพระองค์ในภาษาของตนเอง เพื่อที่จะได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง เป็นการเข้าใจธรรมในภาษาของตนๆ ได้เห็นว่าพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงมาจากการตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกขณะ

ไม่ว่าจะในยุคใดสมัยใด ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น ซึ่งเป็นเรืองที่ละเอียด ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เป็นสาวก จึงควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงด้วยความเคารพ คือฟังเพื่อที่จะเข้าใจในแต่ละคำที่ได้ยินได้ฟัง ให้ถูกต้อง ชัดเจน ไม่ใช่ให้คิดเอง

เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงแล้ว เป็นสภาพธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน จำแนกเป็นสภาพธรรมที่เป็น จิต เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ สภาพธรรมที่มีจริงอีกอย่างหนึ่ง คือ เจตสิก ได้แก่ สภาพธรรมที่เกิดพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิต แต่ว่ากระทำกิจของตนต่างๆ กันไป สำหรับเจตสิกมีทั้งหมด ๕๒ ประเภท มี ผัสสะ (สภาพธรรมที่กระทบอารมณ์) เวทนา (ความรู้สึก) สัญญา (ความจำ) เจตนา (ความจงใจ) เป็นต้น และในการอบรมเจริญปัญญา ก็จะรู้ลักษณะของรูปธรรมด้วย ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ธาตุรู้ ตัวอย่างของรูปธรรม เช่น สี เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นต้น การอบรมปัญญา ก็เป็นการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียด เพื่อที่จะให้เข้าใจชัดในความเป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ของสิ่งที่มีจริง ที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน ทั้งจิต เจตสิก และรูป ส่วนพระนิพพานนั้น เมื่อยังไม่ประจักษ์ ก็ควรที่จะได้ศึกษาเพื่อที่จะได้เข้าใจเรื่องของสภาพธรรม ๓ ประเภท คือ จิต เจตสิก รูป ก่อน

เมื่อกล่าวถึงจิตแล้ว แม้ว่าจะมีจิตหลายประเภท แต่ ก็เป็นสภาพที่เที่ยวไปดวงเดียว หมายความว่าจะไม่มีจิตเกิดพร้อมๆ กัน หลายๆ ดวง แต่จะเกิดทีละหนึ่งขณะหรือทีละหนึ่งดวง กล่าวคือ เมื่อจิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไปก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ นี้คือ ความจริง เป็นธรรมทีเกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีเรา ไม่ใช่เราแต่อย่างใด

การศึกษาเรื่องของจิต เป็นการที่จะพิจารณาสภาพธรรมที่กำลังปรากฏอยู่ในขณะนี้ ถ้าไม่เคยคิดเลยว่า จิตอยู่ที่ไหน ถ้าไม่รู้อย่างนี้ ก็จะไม่สามารถรู้ลักษณะของจิตได้ เพราะมีจิต แต่ไม่ทราบว่าจิตอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้น ก็ไม่สามารถพิจารณาลักษณะของจิตได้ว่า เป็นเพียงสภาพรู้ ธาตุรู้ อาการรู้ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ที่ว่าทุกคนมีจิตนั้น ไม่ได้นอกเหนือจากชีวิตประจำวันเลย ในขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เอง เป็นสภาพที่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ โดยสภาพรู้ เป็นจิตนั่นเอง นอกจากนั้นแล้ว ในขณะที่ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง คิดนึกบ้าง เป็นกุศลจิตบ้าง เป็นอกุศลจิตบ้าง ทั้งหมดนี้คือความเกิดขึ้นเป็นไปของจิต

เมื่อกล่าวโดยประมวลแล้ว ทุกขณะของชีวิตคือการเกิดดับสืบต่อกันของจิต (รวมถึงสภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต คือ เจตสิกด้วย) และที่สำคัญ จิต ไม่ใช่เรา เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยหลายอย่าง เช่น มีที่เกิด มีอารมณ์ มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นต้น เป็นการปฏิเสธความเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะฟัง จะศึกษาในส่วนใดก็ตาม ก็เพื่อเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ทั้งหมดของพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงโดยตลอด ไม่ว่าจะได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมในส่วนใด ล้วนเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นปัญญาของตนเอง เพิ่มพูนความมั่นคงในความเป็นจริงของธรรมยิ่งขึ้นว่ามีแต่ธรรมเท่านั้น ไม่มีเราไม่ใช่เรา

ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..

บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 24 เม.ย. 2568

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ