ไม่ใช่เราที่กำลังรู้ตรงลักษณะ

 
เมตตา
วันที่  26 เม.ย. 2568
หมายเลข  49827
อ่าน  370

ท่านอาจารย์: นี่เป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจผิด เพราะไม่ได้มีความเข้าใจธรรมเพียงพอ ที่จะเป็นปัจจัยให้สามารถรู้ความจริงตรงความจริงได้ เพียงแต่ฟัง ได้ยินเพียงไม่กี่คำ ก็เข้าใจธรรมไม่กี่ธรรม จนกว่าจะได้ฟังมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ เนื่องจากความเข้าใจไม่พอ จึงมีตัวตนไปปฏิบัติผิด และตัวที่ปฏิบัติไม่รู้เลยว่า ขณะนั้นอะไรที่จะไม่เป็นเราปฏิบ้ติ เริ่มเห็นแล้วใช่ไหม? ความมืดสนิทของความไม่รู้ แล้วไปหลงเข้าใจว่า ได้ยินแล้วว่า อวิชชาไม่รู้ ปัญญารู้ ก็เลยจะไปปฏิบัติ หรือปฏิบัติเพื่อจะรู้ แต่ไม่รู้เลยว่า ไม่ใช่ เพราะขณะนั้นเป็นเราแน่นอน เพราะยังไม่สามารถที่จะรู้ว่า ขณะที่เข้าใจมีอะไรด้วยที่พอที่จะรู้ได้ ทั้งๆ ที่มีหลายอย่าง แต่ขณะนั้นที่พอที่จะรู้ได้ ที่จะรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏอยู่ เห็นไหม

อ.อรรณพ: เช่นความรู้สึกครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: ความรู้สึกมีตลอดเวลาเลย แต่ขณะที่กำลังเริ่มเข้าใจลักษณะที่กำลังปรากฏตรงลักษณะนั้น ความรู้สึกก็มี แต่ความรู้สึกก็เป็นความรู้สึกเสมอ ไม่ว่าความรู้สึกนั้นจะเกิดที่ไหนอย่างไร ก็จะพ้นจากความรู้สึกเฉยๆ ความรู้สึกสุข หรือความรู้สึกทุกข์ไม่ได้

เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังค่อยๆ เข้าใจตรงลักษณะของธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ขณะนั้นอะไร?

อ.อรรณพ: มีสภาพที่ระลึกได้ คือสติครับ

ท่านอาจารย์: เห็นไหม ถ้าเราไม่รู้อย่างนี้ ก็กลายเป็นเราแล้ว จึงมีการปฏิบัติผิด เพราะไม่รู้ลักษณะของธรรมที่เป็นสภาพรู้ที่ระลึก เพราะเข้าใจ จนกระทั่งสามารถที่จะเกิดระลึกที่จะรู้ตรงนั้นทันที

อ.อรรณพ: และ ลักษณะของสภาพที่ระลึกได้ สตินั้นก็ปรากฏได้

ท่านอาจารย์: ถ้าไม่มีชื่อ ใครจะรู้ว่าหมายความถึงสภาพธรรมอะไร เพราะฉะนั้น แต่ละธรรมจึงมีชื่อให้รู้ลักษณะที่ต่างกัน กิจการงานที่ต่างกัน

เพราะฉะนั้น สติ ไม่ใช่ปัญญา ทุกครั้งที่ปัญญาเกิด ต้องมีสภาพธรรมอื่นเกิดร่วมด้วย อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ล้วนเป็นสภาพธรรมที่ดีงาม ไม่ใช่สภาพธรรมที่เป็นโทษ แต่ละหนึ่งต่างกัน

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้จักสติ ก็เรานั่นแหละ แล้วอย่างนี้จะถูกหรือ?

อ.ณภัทร: ครับ

ท่านอาจารย์: ฟังธรรมไม่ตลอด ไม่ได้ฟังด้วยความเคารพ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความละเอียดยิ่งที่จะรู้ว่า ไม่ใช่เราทุกขณะ

เพราะฉะนั้น ก็จะไม่ใช่เราที่กำลังรู้ตรงลักษณะนี้ ถ้าไม่ฟังโดยตลอด คิดว่าจะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ก็ต้องเป็นตัวตนที่ไป จะรู้

หนทางผิดมีมาก เพราะความไม่รู้

อ.ณภัทร: กราบท่านอาจารย์ครับ เพราะว่า ก็เป็นสิ่งที่เตือนใจอย่างยิ่ง ที่ได้ยินได้ฟังมาตลอดว่า ทุกอย่างเป็นธรรม และธรรมก็เป็นแต่ละหนึ่งด้วย มีลักษณะที่แตกต่างกันไม่เหมือนกัน ปัญญาก็ไม่ใช่สติ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น ท่านอาจารย์ก็เตือนให้เป็นผู้ที่ละเอียดเพิ่มขึ้นว่า สภาพธรรมใดที่เกิดขึ้นพอที่จะรู้ได้ตามกำลังของปัญญา แล้วถ้าปัญญาเพิ่มขึ้น ก็สามารถที่จะรู้ในสภาพธรรมที่มี แต่ไม่เคยรู้ได้ ก็สามารถที่จะค่อยๆ รู้ขึ้นตามนั้นได้อย่างนั้นครับท่านอาจารย์ครับ

อ.อรรณพ: ท่านอาจารย์เกื้อกูลอุปการะที่สุดเลยครับตรงนี้ ในขณะที่ปัญญาเกิดขึ้นรู้ตรงสิ่งที่กำลังปรากฏมีอะไร มีธาตุรู้อะไร มีสติซึ่งเป็นสภาพที่ระลึกได้ และสภาพที่ระลึกได้นั้น เป็นการระลึกตรงสิ่งที่ปรากฏ ปัญญาจึงเข้าใจตรงสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่ขั้นฟัง แต่เป็นขั้นที่ปัญญาเกิดขึ้นทำกิจ ปัญญาเป็นปฏิปัตติ เกิดขึ้นทำกิจ สติขณะนั้นก็เป็นปัฏฐานะ เป็นที่ตั้งด้วยดี นะครับ

ก็ซาบซึ้งท่านอาจารย์ก็ย่อยมา จริงๆ แล้ว ก็คือ พึงเห็นกำลังของสติในสติปัฏฐาน นั่นแหละ แต่ไม่ต้องพูดถึงอย่างนั้น ไม่ต้องใช้คำอย่างนั้นเลย แต่ท่านอาจารย์ค่อยๆ ให้เราไตร่ตรองสืบไปว่า เมื่อขณะที่ปัญญาเกิด รู้ตรงสิ่งที่ปรากฏ จะปราศจากสติซึ่งเป็นสภาพที่มีลักษณะบำรุงปัญญาไม่ได้เลย เพราะขณะนั้น ระลึกได้ตรงตามความเป็นจริง ไม่ใช่แค่ระลึกขั้นทานขั้นศีล

กราบแทบเท้าที่สุด มีประโยชน์มากๆ ต้องขณะนี้ค่อยๆ ปรุงแต่งกันไป

ขอเชิญอ่านเพิ่มได้ที่ ...

พึงเห็นกำลังของสติในสติปัฏฐาน

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ และ อ.ณภัทร ด้วยความเคารพค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nattawan
วันที่ 1 พ.ค. 2568

ยินดีในกุศลวิริยะค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ปทุม
วันที่ 5 พ.ค. 2568

สาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 8 พ.ค. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ