หนทางผิดมีมากเพราะไม่รู้

อ.ณภัทร: แล้วที่พระองค์ทรงแสดงว่า ไม่รู้ชัด ครับ คำว่า รู้ชัด จะมีความละเอียดอย่างไรครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้ รูป อะไร?
อ.ณภัทร: เดี๋ยวนี้ก็มีรูปครับ มีแข็ง ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ครับ
ท่านอาจารย์: แล้ว สิ่งที่ปรากฏทางตา ด้วยใช่ไหม?
อ.ณภัทร: มีด้วยครับ
ท่านอาจารย์: รู้แล้วหรือยัง?
อ.ณภัทร: ยังไม่รู้ครับ
ท่านอาจารย์: ทั้งนั้นเลยแข็งก็ไม่รู้ แข็งก็เป็นหมอน เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นดินสอ เป็นปากกา เป็นรองเท้า ไหนล่ะรูป?
อ.ณภัทร: ดังนั้น การรู้ชัด ก็คือรู้ตามความเป็นจริงว่า รูปเป็นรูปอย่างนั้นใช่ไหมครับ ไม่ว่าจะรู้ทางใดก็ตาม ที่ว่า รู้ชัด ครับ
ท่านอาจารย์: อย่าข้าม คำว่า ชัด มีคำว่า รู้ แล้วยังมีคำว่า รู้ชัด ต่างกันไหม?
อ.ณภัทร: ต่างกันแน่นอนครับ
ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้รู้ว่า อะไรเป็นรูป? แค่ได้ยินได้ฟังใช่ไหม?
อ.ณภัทร: ครับ
ท่านอาจารย์: แล้วจะรู้รูป เริ่มรู้จักรูปเมื่อไหร่?
อ.ณภัทร: เมื่อรู้ตรงลักษณะของรูปนั้นครับ
ท่านอาจารย์: เมื่อรูปนั้นปรากฏ แล้วเวลานี้ รูป ปรากฏหลายทางใช่ไหม?
อ.ณภัทร: ครับ
ท่านอาจารย์: แต่ว่า ทางตาก็มี เป็นรูปใช่ไหม? ทุกคนรู้ว่า เป็นรูปที่กระทบตาปรากฏ แต่รูปที่กระทบตาปรากฏนี่ ปรากฏโดยความเป็นรูปหรือเปล่า หรือปรากฏกับความไม่รู้?
แม้เดี๋ยวนี้ปกติธรรมดาอย่างนี้ แข็งก็กำลังปรากฏ เสียงก็กำลังปรากฏ ได้ยินเกิด สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏ แล้วจะรู้รูปไหน? เห็นไหม? เลือกได้ไหม ถ้าไม่ปรากฏ จะพยายามไปหารูปนั้นมารู้ได้ไหม กับรูปที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เมื่อไหร่จะรู้ และจะเริ่มรู้ได้อย่างไร อยู่ดีๆ จากไม่รู้ แล้วจะไปเริ่มรู้เอง นี่เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ผู้ที่ตรัสรู้
เพราะฉะนั้น รูปมีทั้งวันใช่ไหม?
อ.ณภัทร: ใช่ครับ
ท่านอาจารย์: ไม่ขาดรูปสักขณะหนึ่งใช่ไหม?
อ.ณภัทร: ไม่ขาดเลย เพราะยังมีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีกระทบสัมผัสครับ
ท่านอาจารย์: แล้วรู้รูปไหนบ้างไหม?
อ.ณภัทร: ตรงนี้เป็นสิ่งที่เตือนใจเป็นอย่างยิ่งว่า ฟังมาศึกษามา แต่ว่า รู้รูปไหนบ้างหรือยังในชีวิตประจำวันครับ
ท่านอาจารย์: แล้ว ทุกขณะ ผ่านไปๆ ไม่รู้จะมากสักแค่ไหนที่ไม่รู้
อ.ณภัทร: ครับ แต่ก็พอที่จะรู้เหตุว่า ความเข้าใจยังไม่มากพอครับท่านอาจารย์ ก็ยังเป็นเหตุที่จะทำให้ยังไม่รู้ รูปต่างๆ ที่กำลังปรากฏ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ทรงแสดง รูปที่ปรากฏ ให้รู้ได้ใช่ไหม?
อ.ณภัทร: ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ขณะนี้มีรูปที่ปรากฏให้รู้ได้ แต่ความเป็นตัวตน หรือความไม่รู้ ไม่สามารถที่จะเข้าถึงการที่จะเข้าใจ หรือรู้ความจริงนั้นได้
เพราะฉะนั้น ทรงแสดงธรรมโดยละเอียดยิ่ง ขณะที่กำลังฟังขณะนี้ มีสภาพธรรมอะไรบ้างที่ไม่ปรากฏ หรือว่าที่ไม่มี ต่างกันแล้วใช่ไหม?
อ.ณภัทร: ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องฟังจนกระทั่งรู้ว่ามีอะไร จะได้รู้จักว่า ไม่ใช่สิ่งที่เราเรียก หรือเราคิด เช่น เห็นมี แต่เห็นของเรา ก็คือเห็นเป็นเรา สิ่งที่ปรากฏทางตามี แต่สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อให้รู้รูปตามปกติที่มี จนกว่าจะรู้ทีละอย่าง ไม่ใช่ไปรู้อย่างอื่นเลย รู้สิ่งที่มีเป็นปกตินี่เอง เพราะเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัยเป็นปกติปรากฏทั้งวัน ทั้งวันไม่รู้ๆ ๆ ๆ และขณะไหนที่จะรู้สักขณะหนึ่งในวันหนึ่ง ทั้งๆ ที่ทุกวันที่ผ่านมาในสังสารวัฏฏ์ก็ไม่รู้
เพราะฉะนั้น แม้รูปมี การที่จะรู้รูปได้ ก็ต้องอาศัยการเข้าใจว่า รูปคืออะไร? และสภาพธรรมที่กำลังได้ยินมีอะไร และสภาพที่สามารถจะเข้าใจมีอะไรในขณะที่กำลังเข้าใจ
เพราะฉะนั้น จะรู้แต่เพียงนามธรรม รูปธรรม แค่ ๒ - ๓ อย่าง เป็นไปไม่ได้ เพราะว่า ทั้งวันมีนามธรรมมากกว่านั้น
เพราะฉะนั้น ได้ยินคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ถ้าไม่ศึกษาด้วยความเคารพโดยรอบคอบ ไม่มีทางรู้ความจริง เช่น คำว่า สติ ปัญญา ได้ยินกันบ่อยมาก พูดตามทันที แต่ว่า ภาวะของสติคืออะไร ชีวิตประจำวันปรากฏว่ามีหรือยังที่จะรู้จนประจักษ์แจ้ง ไม่ใช่รู้ขณะอื่นนะ ขณะที่สิ่งนั้นกำลังมีให้รู้ จากการที่ได้ฟังได้ไตร่ตรอง จนกระทั่งเข้าใจขึ้นในความเป็นแต่ละหนึ่ง
อ.ณภัทร: ครับ ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า สภาพธรรมที่มี แต่ไม่ได้ปรากฏก็มี ผมก็นึกถึง คิด ขณะนั้นว่า ขณะนั้นก็มี สัญญา แต่ว่าไม่ได้ปรากฏครับ มีเวทนา ความรู้สึก ก็ไม่ได้ปรากฏ รวมถึงผัสสะมี แต่ก็ไม่ได้ปรากฏครับ
ท่านอาจารย์: แล้วก็เรื่องฟังเข้าใจมีอะไรบ้างในขณะที่เข้าใจ?
อ.ณภัทร: มีเสียงท่านอาจารย์ ที่ได้ยิน ...
ท่านอาจารย์: ขอโทษนะ ในขณะที่เข้าใจ ไม่ได้พูดถึงอย่างอื่น ในขณะที่เข้าใจ มีอะไรบ้าง?
อ.ณภัทร: ผมยังไม่เข้าใจคำถามครับในขณะที่เข้าใจมีอะไรบ้าง
ท่านอาจารย์: มี เข้าใจ อย่างเดียวหรือ?
อ.อรรณพ: มีสิ่งที่ถูกเข้าใจครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์: ในขณะที่เข้าใจ ไม่ได้พูดถึงขณะอื่น
อ.อรรณพ: ครับ ในขณะที่เข้าใจก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏครับ
ท่านอาจารย์: ในขณะที่เข้าใจมีอะไรบ้าง ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง ก็เป็นเรานั่นแหละ แต่ทรงแสดงโดยละเอียดว่าขณะนั้นมีอะไรที่จะค่อยๆ รู้ ความเป็นศีล จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่า ขณะนั้น เป็นศีล
อ.ณภัทร: ครับ ในขณะที่เข้าใจ ก็คือเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีขณะนั้นว่า เป็นสภาพธรรมแต่ละลักษณะครับ
ท่านอาจารย์: แต่เข้าใจไม่ได้ปรากฏ เพราะฉะนั้น สภาพธรรมอื่นๆ ที่เกิดกับความเข้าใจ ก็ไม่ได้ปรากฏ
อ.ณภัทร: ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จึงทรงแสดงความละเอียดยิ่งให้รู้ความต่างกัน เพื่อจะได้ละทุกสิ่งทุกอย่างที่มีขณะนั้นว่า เป็นเราได้ ทรงแสดง ความรู้สึก ว่ามี ทรงแสดง ความจำ ว่ามี แล้วทรงแสดงว่าอะไรก็มี
อ.อรรณพ: ท่านอาจารย์ละเอียดมากเลย ท่านอาจารย์เกื้อกูลขยายไปเรื่อยเลยว่า ในขณะที่เข้าใจมีอะไร ก็ต้องมีสภาพธรรมอื่นด้วย มีสิ่งที่ปรากฏด้วย แล้วก็มีสิ่งที่เกิดกับความเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นธาตุรู้อะไรต่างๆ ต่างๆ ครับ แล้วก็ยังไม่ได้ปรากฏอีกครับ ดีมากเลยที่ท่านอาจารย์ขยายครับ
อ.ณภัทร: ก็หมายความว่า เป็นผู้ที่เริ่มที่จะละเอียดขึ้นๆ ๆ อย่างที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวเสมอใช่ไหมครับ
ท่านอาจารย์: ถ้าไม่ละเอียด จะรู้จักธรรมโดยถ่องแท้ได้ไหม?
อ.ณภัทร: ไม่ได้เลยครับ
ท่านอาจารย์: แค่ปัญญา กับอวิชชา พอไหม?
อ.ณภัทร: ไม่พอครับ
ท่านอาจารย์: นี่เป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจผิด เพราะไม่ได้มีความเข้าใจธรรมเพียงพอ ที่จะเป็นปัจจัยให้สามารถรู้ความจริงตรงความจริงได้ เพียงแต่ฟัง ได้ยินเพียงไม่กี่คำ ก็เข้าใจธรรมไม่กี่ธรรม จนกว่าจะได้ฟังมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ เนื่องจากความเข้าใจไม่พอ จึงมีตัวตนไปปฏิบัติผิด และตัวที่ปฏิบัติไม่รู้เลยว่า ขณะนั้นอะไรที่จะไม่เป็นเราปฏิบ้ติ เริ่มเห็นแล้วใช่ไหม? ความมืดสนิทของความไม่รู้ แล้วไปหลงเข้าใจว่า ได้ยินแล้วว่า อวิชชาไม่รู้ ปัญญารู้ ก็เลยจะไปปฏิบัติ หรือปฏิบัติเพื่อจะรู้ แต่ไม่รู้เลยว่า ไม่ใช่ เพราะขณะนั้นเป็นเราแน่นอน เพราะยังไม่สามารถที่จะรู้ว่า ขณะที่เข้าใจมีอะไรด้วยที่พอที่จะรู้ได้ ทั้งๆ ที่มีหลายอย่าง แต่ขณะนั้นที่พอที่จะรู้ได้ ที่จะรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏอยู่ เห็นไหม
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.ณภัทร ด้วยความเคารพค่ะ



