ขณะแรกที่เกิด (ปฏิสนธิ) อะไรเกิด?

 
เมตตา
วันที่  23 ธ.ค. 2566
หมายเลข  47097
อ่าน  296

สนทนาธรรม ณ แดนพุทธภูมิ @มุมไบ วันพุทธที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๖ (ช่วงเช้า)

[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 109

ดูก่อนมาร เพราะเหตุไรหนอ ความเห็นของท่านจึงหวนกลับมาว่าสัตว์ ในกองสังขารล้วนนี้ ย่อมไม่ได้นามว่า สัตว์

เหมือนอย่างว่า เพราะคุมส่วนทั้งหลายเข้าเสียงว่ารถย่อมมี ฉันใด.

เมื่อขันธ์ทั้งหลายยังมีอยู่ การสมมติว่าสัตว์ย่อมมี ฉันนั้น ความจริง ทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์เท่านั้นย่อมตั้งอยู่และเสื่อมสิ้นไป นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ.

ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า วชิราภิกษุณีรู้จักเรา

ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง


[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 47

อนิพฺพตฺเตน น ชาโต ปจฺจุปฺปนฺเนน ชีวติ

จิตฺตภงฺคมโต โลโก ปญฺตฺติ ปรมตฺถิยา.

เพราะจิตไม่เกิด สัตว์โลกก็ชื่อว่าไม่เกิด เพราะจิตเกิดขึ้นเฉพาะหน้า สัตว์โลกก็ชื่อว่า เป็นอยู่ เพราะความแตกดับแห่งจิต สัตว์โลก จึงชื่อว่า ตายแล้ว นี้เป็นบัญญัติเนื่องด้วยปรมัตถ์.


ท่านอาจารย์: พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรม คือสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ได้ฟัง คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่า เป็นเราตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ

ถ้าไม่เกิด จะไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีจำ ไม่มีคิด ไม่มีชอบ ไม่มีไม่ชอบ ไม่มีทุกสิ่งทุกอย่างทุกขณะที่เป็นจริงตลอดจนตาย

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิด ไม่ใช่เรา แต่เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่าง ถ้าไม่เกิด ไม่มีเห็นเดี๋ยวนี้ ฟังเดี๋ยวนี้ คิดเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น อะไรเกิดตั้งแต่เกิด

เพราะฉะนั้น ขณะแรก ที่เกิด (ปฏิสนธิ) อะไรเกิด? ถ้าไม่มีเกิด ไม่มีเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่มีได้ยินเดี๋ยวนี้ ไม่มีคิดเดี๋ยวนี้ ไม่มีวันก่อนวันหน้า และทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตจนตาย

เพราะฉะนั้น ทุกคนรู้ว่า ต้องมีขณะเกิด แต่ไม่ใช่เห็นเดี๋ยวนี้ ถ้าลืม คำ ของพระพุทธเจ้าก็ตอบไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมะ เพราะฉะนั้น ขณะเกิด เป็นธรรมะ ธรรม คือสิ่งที่มีจริง ขณะที่เกิดมีธรรม ๒ อย่าง ขณะเกิดมีธรรมซึ่งเป็น ธาตุรู้ เกิดขึ้นรู้ เกิดดับตั้งแต่ขณะแรกต่อๆ มาจนเป็นเด็ก จนเป็นผู้ใหญ่ จนเห็น จนได้ยิน และเดี๋ยวนี้มีตา มีหู มีแขน มีขา ตอนเกิดก็ต้องมีรูปธรรมด้วย

เพราะฉะนั้น ขณะแรกจริงๆ ที่เกิด เป็นนามธรรมเกิด และรูปธรรมเกิดพร้อมกัน ถ้าไม่มีรูปธรรม เห็นเกิดไม่ได้ ได้ยินเกิดไม่ได้ แต่ ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน แต่เป็นธรรมที่เป็น ธาตุรู้ เกิดแล้วภายหลังก็เห็น ภายหลังก็เกิดได้ยิน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง นามธรรม ละเอียดยิ่ง และ รูปธรรม ละเอียดยิ่ง จนเริ่มเข้าใจว่า นามธรรมเป็นนามธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น และรูปธรรมก็เป็นสิ่งที่มีจริงที่ไม่รู้อะไร จึงเป็นรูปหลายๆ อย่างต่างกัน

แต่ ไม่มีใครรู้ว่า อะไรทำให้รูปธรรมเกิด อะไรทำให้นามธรรมเกิด อะไรทำให้นามธรรมหลับ และตื่น รูปธรรมหลับได้ไหม ตื่นได้ไหม?

ชาวอินเดีย: ไม่ได้

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น นามธรรมไม่ใช่รูปธรรม ต้องมีความมั่นคง ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ต่างกันเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ ๒ อย่าง ทุกอย่างที่เกิดขึ้น รู้ ทั้งหมดเป็นนามธรรม และสิ่งที่เกิดขึ้นไม่รู้อะไร แต่เกิดจริงๆ แข็งจริงๆ ร้อนจริงๆ เป็นรูปธรรม.

ขอเชิญอ่านได้ที่ ...

ขันธ์ ๕ คือ นามธรรมและรูปธรรม

ขอเชิญฟังได้ที่ ...

ขณะปฏิสนธิ

รูปกับจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 23 ธ.ค. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ทรงศักดิ์
วันที่ 24 ธ.ค. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
swanjariya
วันที่ 25 ธ.ค. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลทุกประการค่ะน้องเมตตา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ