สมิทธิสูตร
... สมิทธิสูตร มีข้อความว่า
ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
นามธรรมและรูปธรรมมีไหมในขณะที่กำลังได้ยินอย่างนี้ เป็นปรมัตถธรรมทั้งนั้น ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลเลย แม้ว่าจะได้ยินข้อความอย่างนี้ ที่กำลังได้ยินก็เป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง เป็นสภาพที่รู้เสียงที่กำลังปรากฏ ขณะใดที่ได้ยินเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นสภาพรู้เสียง ซึ่งจะไม่รู้อย่างอื่นเลยนอกจากเสียง
ขณะที่กำลังรู้ความหมายของสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ก็เป็นนามธรรม รู้ความหมายนั้นแล้วก็หมดไป ดับไป ไม่เที่ยง เพราะเหตุว่ามีนามธรรมอื่น มีรูปธรรมอื่นเกิดปรากฏสืบต่อ ซึ่งสติระลึกแล้วก็รู้ว่า ทั้งหมดไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังฟัง สติระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้ มีช่วงเวลามากพอระหว่างการเกิดดับสืบต่อของจิตที่สติจะเกิดขึ้นระลึกรู้ในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมได้ อย่าคิดว่า ถ้ารู้ความหมายแล้วจะไม่ใช่ปรมัตถธรรม เพราะเหตุว่าสภาพที่กำลังรู้ กำลังเข้าใจนั้น เป็นแต่เพียงนามธรรมที่กำลังรู้ในความหมายแล้วก็หมดไป นามธรรมชนิดนั้นดับ และก็มีนามธรรมอื่น รูปธรรมอื่นเกิดดับสืบต่อไป
ข้อความต่อไปมีว่า
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่กรุงศิลาวดี ในแคว้นสักกะ ก็สมัยนั้นแล ท่านสมิทธิเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนอันส่งไปแล้ว อยู่ในที่ใกล้พระผู้มีพระภาค
ท่านผู้ฟังจะรู้สึกว่า เสียงที่ได้ยินนี้ติดกันมากใช่ไหม และทำไมรู้เรื่องได้ด้วย ทั้งๆ ที่เสียงก็ปรากฏเหมือนกับสืบติดต่อกันไป ทุกคำมีช่องว่างที่ท่านไม่ได้สังเกตสำเหนียก เห็นความเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรม แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่อบรมเจริญสติ ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมแต่ละชนิดชัดเจน ไม่ปนกับนามธรรมอื่นรูปธรรมอื่น จะรู้ได้ว่า ลักษณะของรูปไม่ใช่ลักษณะของนาม สภาพที่รู้ก็เป็นอย่างหนึ่งและเสียงที่กำลังปรากฏก็ปรากฏคนละขณะ เสียงที่ปรากฏไม่ใช่สภาพนามธรรมที่กำลังรู้เรื่อง และถ้าท่านเป็นผู้ที่จะแบ่งวรรคตอนของคำ จะปรากฏว่า แบ่งคำได้ทุกคำทั้งๆ ที่ปรากฏเหมือนกับว่าติดกัน เสียงนั้นปรากฏเหมือนกับว่าสืบต่อติดกันไปไม่มีช่องว่างเว้นเลย เสียงก็สามารถที่จะแบ่งเป็นคำได้ และยังมีความเข้าใจในการรู้ความหมายของเสียงด้วย เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว
เพราะฉะนั้น ไม่ต้องเป็นห่วงว่า ที่กำลังรู้เรื่องนี้สติไม่สามารถจะเกิดขึ้นระลึกรู้ได้ว่าเป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง ถ้าท่านเป็นผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐานจริงๆ ย่อมสามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ และถ้ายังไม่รู้ ก็ต้องยอมรับว่าเป็นความไม่รู้อยู่ และเจริญอบรมจนกว่าจะเป็นความรู้จริงๆ แต่ไม่ใช่หลอกตัวเอง ทั้งๆ ที่ไม่รู้ก็ว่ารู้แล้ว อย่างนั้นไม่มีหนทางที่จะทำให้ปัญญาสมบูรณ์ จนกระทั่งสามารถที่จะแทงตลอดในสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 295
ข้อความต่อไปมีว่า
ครั้งนั้นแล ท่านสมิทธิผู้พักผ่อนอยู่ในที่ลับ มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า เป็นลาภของเราดีแท้ ที่เราได้พระอรหันต์ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบเป็นพระศาสดาของเรา เป็นลาภของเราดีแท้ ที่เราได้บวชในพระธรรมวินัยอันพระศาสดาตรัสดีแล้วอย่างนี้ เป็นลาภของเราดีแท้ ที่เราได้เพื่อนพรหมจรรย์อันมีศีล มีกัลยาณธรรม
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปทราบความปริวิตกแห่งจิตของท่านสมิทธิด้วยจิตแล้วเข้าไปหาท่านสมิทธิถึงที่อยู่ ครั้นแล้วจึงทำเสียงดังน่ากลัว น่าหวาดเสียว ประดุจแผ่นดินจะถล่ม ณ ที่ใกล้ท่านสมิทธิ
ลำดับนั้น ท่านสมิทธิเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ท่านสมิทธิครั้นนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว จึงได้กราบทูลว่า
พระเจ้าข้า ข้าพระองค์เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนอันส่งไปแล้ว อยู่ในที่ใกล้พระองค์ ณ ที่นี้ พระเจ้าข้า ข้าพระองค์อยู่ในที่ลับเร้น มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า เป็นลาภของเราดีแท้ ที่เราได้พระอรหันต์ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบเป็น พระศาสดาของเรา เป็นลาภของเราดีแท้ ที่เราได้บวชในพระธรรมวินัยอันพระศาสดาตรัสดีแล้วอย่างนี้ เป็นลาภของเราดีแท้ ที่เราได้เพื่อนพรหมจรรย์อันมีศีล มีกัลยาณธรรมพระเจ้าข้า
ขณะนั้นก็ได้มีเสียงดังน่ากลัว น่าหวาดเสียว ประดุจแผ่นดินจะถล่ม เกิดขึ้นในที่ใกล้ข้าพระองค์
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
สมิทธิ นั่นไม่ใช่แผ่นดินจะถล่ม นั่นเป็นมารผู้มีบาป มาเพื่อกำบังตาเธอ เธอจงไปเถิดสมิทธิ จงเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนอันส่งไปแล้ว อยู่ในที่นั้นตามเดิมเถิด
ท่านสมิทธิรับพระดำรัสแล้ว ลุกขึ้นจากอาสนะ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคทำประทักษิณ แล้วหลีกไป
นี่ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน และท่านพระภิกษุทั้งหลายก็เป็นผู้ที่มีความเพียรที่จะอบรมประพฤติพรหมจรรย์ เจริญมรรคมีองค์ ๘ ในเพศของบรรพชิตไม่ใช่ผู้เกียจคร้าน แต่แม้กระนั้น ถ้าเป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน จะเห็นได้ว่ามีขณะที่หลงลืมสติ เช่น ขณะที่มีเสียงดังน่ากลัวสติไม่ได้ระลึกรู้ว่า เป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้น และก็ทิ้งไป ละไป มีนามธรรมอื่น รูปธรรมอื่นเกิดขึ้นปรากฏ สติก็ระลึกรู้ ไม่หวั่นไหว
จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าในครั้งโน้น ไม่ว่าในครั้งนี้ หรือไม่ว่าในครั้งไหน เมื่อเป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐานแล้ว จะรู้ว่าขณะใดมีสติ ขณะใดหลงลืมสติ ซึ่งขณะใดที่หลงลืมสติจะมีความรู้สึกว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน มีความหวั่นไหวในสิ่งที่ปรากฏ แม้ว่าจะเป็นเรื่องของมาร แต่ท่านผู้ฟังก็จะได้รับประโยชน์จากธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสกับท่านพระภิกษุเหล่านั้น
ข้อความต่อไปมีว่า
แม้ครั้งที่สอง ท่านพระสมิทธิเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนอันส่งไปแล้ว อยู่ในที่นั้นนั่นเอง แม้ในครั้งที่สอง ท่านสมิทธิไปในที่เร้นลับอยู่ มีความปริวิตกเกิดขึ้นอย่างนี้ ฯลฯ แม้ในครั้งที่สอง มารผู้มีบาปทราบความปริวิตกแห่งจิตของท่านสมิทธิด้วยจิตแล้ว จึงทำเสียงดังน่ากลัว น่าหวาดเสียว ประดุจแผ่นดินจะถล่ม ณ ที่ใกล้ท่านสมิทธิ
ไม่เลิกล้มการที่จะขัดขวางเลย แม้ครั้งที่สอง ถ้ามีโอกาสที่จะขัดขวางได้ก็กระทำเช่นนั้นอีก
ลำดับนั้น ท่านสมิทธิทราบว่า ผู้นี้เป็นมารผู้มีบาป จึงกล่าวกะมารผู้มีบาปด้วยคาถาว่า
เราหลีกออกจากเรือนบวชเป็นผู้ไม่มีเรือนด้วยศรัทธา สติ และปัญญาของเราเรารู้แล้ว อนึ่ง จิตของเราตั้งมั่นดีแล้ว ท่านจักบันดาลรูปต่างๆ อันน่ากลัวอย่างไร ก็จักไม่ยังเราให้หวาดกลัวได้เลยโดยแท้
ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า ภิกษุสมิทธิรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้หายไปในที่นั้นนั่นเอง
ขณะที่ท่านพระสมิทธิกล่าวกับมาร ระลึกรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมได้ไหม สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมในขณะนั้นได้ไหม ถ้าเหตุ คือ ปัญญาได้อบรมเจริญจนสมบูรณ์ถึงขั้นที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ไม่มีข้อสงสัยเลย แต่บุคคลใดก็ตามที่พูด หรือกล่าวอย่างท่านพระสมิทธิ แต่ว่าปัญญาไม่ได้รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น กำลังพูดด้วยกัน คนหนึ่งเจริญอบรมสติปัญญา ระลึกรู้ว่าเป็นเพียงนามธรรมและรูปธรรม สติในขณะนั้นจะเกิดแทรกขึ้น ระลึกรู้ลักษณะของนามหรือรูปทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจอย่างไร ก็เป็นไปอย่างรวดเร็วด้วยความมั่นคงของสติ เปรียบเทียบกับบุคคลที่พูดอย่างเดียวกัน แต่ว่าไม่ได้อบรมเหตุ คือ สติปัญญาที่จะถึงความสมบูรณ์ที่จะรู้ชัดในสภาพที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม แม้ว่าจะกล่าวข้อความเดียวกัน แต่อีกบุคคลหนึ่งไม่ได้รู้ว่าเป็นนามธรรมและเป็นรูปธรรมก็ได้
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าในขณะที่ท่านพระสมิทธิกล่าวกับมารในครั้งที่สอง ท่านจะไม่รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมแม้ในขณะนั้น เพราะท่านพระสมิทธิกล่าวว่า เราหลีกออกจากเรือนบวชเป็นผู้ไม่มีเรือนด้วยศรัทธา สติ และปัญญาของเราเรารู้แล้ว อนึ่ง จิตของเราตั้งมั่นดีแล้ว ท่านจะบันดาลรูปต่างๆ อันน่ากลัวอย่างไร ก็จักไม่ยังเราให้หวาดกลัวได้เลยโดยแท้ ซึ่งมารก็หมดหวังไปอีกครั้งหนึ่ง เพราะไม่สามารถที่จะกำบังตาท่านพระสมิทธิในครั้งที่สองได้ ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 296
รับฟัง ...

