[คำที่ ๖๐๐] โลกานุกมฺป

 
Sudhipong.U
วันที่  28 ก.พ. 2566
หมายเลข  45614
อ่าน  436

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ โลกานุกมฺป

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

โลกานุกมฺป อ่านตามภาษาบาลีว่า โล - กา - นุ - กำ - ปะ มาจากคำว่า โลก (สัตว์โลก) กับคำว่า อนุกมฺป (อนุเคราะห์เกื้อกูล, เอ็นดู) รวมเป็น โลกานุกมฺป แปลรวมกันได้ว่า อนุเคราะห์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่ดีงาม ที่มุ่งทำประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เมื่อกล่าวถึงบุคคลผู้เกิดมาเพื่ออนุเคราะห์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างสูงสุด ไม่มีใครจะเสมอเหมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย ส่วนผู้ที่เป็นสาวกของพระองค์ เป็นผู้ที่มีปัญญา เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ก็เป็นผู้ที่อนุเคราะห์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกได้ ตามกำลังปัญญาของตน แต่ไม่สามารถเท่ากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย

ข้อความในมโนรถปูรณี อรรถกถา พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต แสดงความเป็นจริงของคำว่า อนุเคราะห์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก (โลกานุกมฺป) ดังนี้

บทว่า โลกานุกมฺปาย ความว่า เสด็จอุบัติเพราะอาศัยความเอ็นดูแก่สัตว์โลก. ถามว่า แก่สัตว์โลกไหน? แก้ว่า เพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลกผู้สดับพระธรรมเทศนาของพระตถาคต ได้ดื่มน้ำอมฤต (ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน) แล้วตรัสรู้ธรรม. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ยับยั้งอยู่ ๗ สัปดาห์ ณ โพธิมัณฑสถาน แล้วเสด็จจากโพธิมัณฑสถาน มายังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แล้วทรงแสดงธรรม จักกัปปวัตตนสูตรว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ที่สุด ๒ อย่างนี้ บรรพชิตไม่ควรเสพ เป็นต้น พรหมนับได้ ๑๘ โกฏิ พร้อมด้วยท่านพระอัญญาโกณฑัญญเถระได้ดื่มน้ำอมฤตแล้ว. พระองค์เสด็จอุบัติเพื่อความอนุเคราะห์แก่สัตว์โลกนี้. ในวันที่ ๕ ในเวลาจบอนัตตลักขณสูตร พระปัญจวัคคีย์เถระ ดำรงอยู่ในพระอรหัต (ความเป็นพระอรหันต์) แล้ว. พระองค์เสด็จอุบัติเพื่อความอนุเคราะห์แก่สัตว์โลกแม้นี้. ลำดับนั้น ทรงให้บุรุษ ๕๕ คน มียสกุลบุตรเป็นหัวหน้า ดำรงอยู่ในพระอรหัต. แต่นั้นทรงให้ภัททวัคคีย์กุมาร ๓๐ คน ณ ไพรสณฑ์ป่าฝ้าย ได้บรรลุมรรค ๓ และผล ๓. พระองค์เสด็จอุบัติเพื่อความอนุเคราะห์ แก่สัตว์โลกนี้


พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศ ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก กว่าที่พระองค์จะได้ตรัสรู้นั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมี คือคุณความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส ตั้งแต่พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ในฐานะของพระมหาสัตว์ มาตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสนกัปป์ ซึ่งเป็นเวลาที่นานมาก เมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงมีพระมหากรุณาที่จะเกื้อกูลสัตว์โลกด้วยการทรงแสดงพระธรรมให้ได้เข้าใจความจริง พระมหากรุณาคุณของพระองค์ที่มีต่อสัตว์โลก คือทรงแสดงพระธรรมให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นความอนุเคราะห์เกื้อกูลของพระองค์ จากที่สัตว์โลกเคยเป็นผู้มากไปด้วยกิเลสประการต่างๆ ก็สามารถที่จะขัดเกลากิเลสและดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น ด้วยปัญญาอันเกิดจากการได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จึงเห็นได้ว่าพระบารมีทั้งหมดที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาก็เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกเท่านั้น พระองค์จึงมีวาจาสัจจะ มีคำจริง ทรงแสดงความจริง เพื่อให้สัตว์โลกผู้ที่ตั้งใจฟังเข้าใจความจริง พระธรรมแต่ละคำ มีค่า เพราะทำให้ผู้ได้ฟังรู้ความจริง จากที่เคยถูกปกปิดหุ้มห่อด้วยความไม่รู้มานานแสนนาน ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ

ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้จะเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ด้วยพระปัญญาที่สามารถแทงตลอดความจริงของสภาพธรรม ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เมื่อพระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงพิจารณาว่าสัตว์โลกมากไปด้วยความไม่รู้และกิเลสทั้งหลาย ถ้าไม่มีผู้อนุเคราะห์เกื้อกูลด้วยการแสดงความจริง ไม่มีทางที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกจะเกิดขึ้นได้เลย พระองค์จึงทรงแสดงพระธรรม ด้วยพระหฤทัยที่ประกอบด้วยความอนุเคราะห์เกื้อกูลเอ็นดูแก่สัตว์โลกไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ไกลแสนไกลเพียงใด แต่ว่าได้สะสมเหตุที่ดีมาที่จะได้รับประโยชน์จากพระธรรมพระองค์ก็เสด็จไปเพื่อทรงแสดงพระธรรม โดยที่ไม่คำนึงว่าบุคคลนั้นเป็นใคร อยู่ที่ไหน เมื่อพระองค์สามารถจะช่วยให้เขาพ้นจากความมืดสนิทและกรงกิเลสของสังสารวัฏฏ์ได้ ก็ทรงเกื้อกูลด้วยการทรงแสดงพระธรรม

แต่ละคนที่เข้าใจพระธรรมย่อมจะซาบซึ้งในความอนุเคราะห์เกื้อกูลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเป็นผู้ที่มั่นคงที่จะรู้ว่ากว่าพระองค์จะทรงตรัสรู้ความจริง ต้องบำเพ็ญพระบารมีมากกว่าบุคคลอื่น ยากแสนยากเพียงใด และเมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้วก็ทรงประพฤติเกื้อกูลแก่สัตว์โลกด้วยการทรงแสดงพระธรรมมาโดยตลอด เป็นเวลานานถึง ๔๕ พรรษา ตั้งแต่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว จนกระทั่งถึงวาระที่พระองค์ใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ใครจะมีพระคุณยิ่งใหญ่เสมอเหมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ทำให้ความไม่รู้ของสัตว์โลกที่มีมานานมากในสังสารวัฏฏ์สามารถจะดับหมดได้? ซึ่งพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงนั้น ก็สืบทอดเรื่อยมาในแต่ละยุคแต่ละสมัยจนถึงยุคนี้สมัยนี้

บุคคลผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ด้วยความเคารพละเอียดรอบคอบ ก็ย่อมจะได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงตามกำลังปัญญาของตนเองซึ่งเป็นการยากมากที่จะได้ฟัง และยากที่จะเข้าใจ แต่สามารถที่จะเข้าใจได้ คำที่พระองค์ตรัสนั้น ไม่มีแม้แต่คำเดียวที่ให้โทษ มีแต่เป็นคำจริง เป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูลให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกเท่านั้น ที่ควรค่าแก่การฟังการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น จึงควรเห็นประโยชน์ของความเข้าใจพระธรรม ซึ่งก็คือปัญญา นั่นเอง อันจะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับชีวิต เป็นที่พึ่งทั้งในโลกนี้และในโลกหน้าด้วย เพราะที่พึ่งจริงๆ ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง เพราะทรัพย์สินเงินทอง ไม่ทำให้พ้นจากทุกข์ได้ ติดตามไปในโลกหน้าก็ไม่ได้ แต่ปัญญาสะสมสืบต่ออยู่ในจิต เป็นที่พึ่งได้ สามารถทำให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ และปัญญาจะเจริญขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เห็นพระคุณอันประเสริฐยิ่งของพระองค์ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานเป็นอย่างยิ่งในการอบรมเจริญปัญญา

ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..

บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เข้าใจ
วันที่ 2 มี.ค. 2566

กราบอนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ