ปัจจัยที่ ๖ สหชาตปัจจัย

 
บ้านธัมมะ
วันที่  27 ธ.ค. 2565
หมายเลข  45379
อ่าน  63

สุ. สำหรับปัจจัยต่อไป ปัจจัยที่ ๖ สหชาตปัจจัย

ท่านผู้ฟังศึกษาเรื่องของปัจจัยโดยไม่ต้องรีบ แต่ว่าพิจารณาจนกระทั่งเข้าใจ และไม่ต้องท่อง เพราะเมื่อเข้าใจแล้ว เวลาที่ได้ยินชื่อของปัจจัยต่างๆ ก็สามารถรู้ได้ว่า ได้แก่สภาพธรรมอะไร

สำหรับสหชาตปัจจัย ธรรมใดย่อมเกิดขึ้น ธรรมนั้นชื่อว่าชาตะ ธรรมที่เกิดพร้อมกัน ชื่อว่าสหชาตะ

เพราะฉะนั้น สำหรับสหชาตปัจจัย ไม่ยากเลย หมายความถึงสภาพธรรมที่เป็นปัจจัยโดยเกิดพร้อมกันกับสภาพธรรมที่ตนเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น คือ ปัจจัยธรรม และปัจจยุปบันธรรมเกิดพร้อมกันในอุปาทขณะ ถ้าท่านผู้ฟังจะสังเกตปัจจัยนี้ โดยชื่อ สหชาต หมายความถึงเกิดพร้อมกัน แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องดับพร้อมกัน ดังนั้น ไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องดับ แต่ให้รู้ว่าเป็นปัจจัยทันทีที่เกิด ซึ่งในขณะที่เกิดต้องเกิดพร้อมกันกับปัจจยุปบันธรรมคือธรรมซึ่งตนเองเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้นด้วย ถ้าทราบความหมายของปัจจัยนี้ก็ทราบได้เลยว่า สำหรับปรมัตถธรรม ๔ สภาพธรรมใดเป็นสหชาตปัจจัย

เป็นเรื่องคิดและพิจารณา และต้องตรงตามความเป็นจริง เพราะว่า สภาพธรรมที่เป็นสหชาตปัจจัย ได้แก่ จิตและเจตสิกที่เกิดพร้อมกัน ท่านผู้ฟังได้ยิน คำว่า ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา เหล่านี้ เป็นชื่อของเจตสิกแต่ละชนิดแต่ละประเภท

ผัสสะเป็นเจตสิกซึ่งกระทบอารมณ์ ถ้าผัสสะไม่กระทบ จิตจะรู้อารมณ์นั้นไม่ได้

เวทนาเป็นสภาพที่รู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ ดีใจ เสียใจ หรือเฉยๆ

ถ้าผัสสะไม่กระทบ เวทนาจะเกิดรู้สึกในอารมณ์นั้นไม่ได้ แต่ทั้งผัสสะ ทั้งเวทนา หรือสัญญาเจตสิก หรือเจตนาเจตสิก หรือเจตสิกอื่นๆ ซึ่งเกิดกับจิตนั้น ต้องเกิดขึ้นพร้อมกับอุปาทขณะของจิต ที่กล่าวว่าเกิดขึ้นพร้อมกัน ต้องหมายถึงในทันทีที่จิตเกิด คือ ในอุปาทขณะของจิตนั่นเอง เพราะฉะนั้น จิตและเจตสิกเกิดพร้อมกันในอุปาทขณะ นี่โดยสหชาตปัจจัย

เพราะฉะนั้น จิตเป็นสหชาตปัจจัยของเจตสิกซึ่งเกิดร่วมด้วย และเจตสิกเป็นสหชาตปัจจัยแก่จิตซึ่งตนเกิดร่วมด้วย เพราะถ้าเจตสิกไม่เกิดจิตก็เกิดไม่ได้ หรือถ้าจิตไม่เกิดเจตสิกก็เกิดไม่ได้ ทั้งจิตและเจตสิกต้องเกิดด้วยกันโดยสภาพของสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยการเกิดขึ้นพร้อมกัน

ไม่ยากใช่ไหม เป็นเรื่องของจิตและเจตสิกตามที่เคยได้ทราบแล้ว ซึ่งไม่ใช่แต่เฉพาะจิตเท่านั้นที่เป็นสหชาตปัจจัย เจตสิกที่เกิดพร้อมจิตก็เป็นสหชาตปัจจัยของจิตด้วย และนอกจากจิตและเจตสิกเป็นสหชาตปัจจัยแล้ว ท่านผู้ฟังลองนึกดูว่า มีอะไรอีกที่เป็นสหชาตปัจจัย ปรมัตถธรรมมี ๔ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เพราะฉะนั้น เมื่อจิตและเจตสิกเป็นสหชาตปัจจัยแล้ว ยังมีสภาพธรรมอื่นอีกไหมที่เป็นสหชาตปัจจัย

สำหรับรูปปรมัตถ์ มีรูป ๔ รูป คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม มหาภูตรูป ๔ ต้องเกิดพร้อมกัน แยกกันไม่ได้ เพราะฉะนั้น ธาตุดินเป็นสหชาตปัจจัยให้ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมเกิดขึ้นพร้อมกันทันทีกับการเกิดของธาตุดิน

ธาตุน้ำเป็นสหชาตปัจจัย คือ เป็นปัจจัยให้ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลมเกิดขึ้นพร้อมกันทันทีกับที่ธาตุน้ำเกิดขึ้น

ธาตุไฟเป็นสหชาตปัจจัย คือ ทำให้ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลมเกิดขึ้นพร้อมกันทันทีในขณะที่ธาตุไฟเกิดขึ้น

และธาตุลมก็เป็นสหชาตปัจจัย ทำให้ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟเกิดขึ้นพร้อมกันทันทีในขณะที่ธาตุลมเกิดขึ้น

สำหรับสหชาตปัจจัย ปัจจัยและปัจจยุปบันต้องเกิดพร้อมกันทันทีในอุปาทขณะนั่นเอง สำหรับมหาภูตรูป ๔ แยกกันไม่ได้เลย ต่างก็เป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน ขณะใดที่ธาตุดินเกิด จะไม่มีธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมเกิดพร้อมกันในขณะนั้นไม่ได้ ขณะใดที่ธาตุไฟเกิด ขณะนั้นจะไม่มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลมเกิดในขณะนั้นด้วยไม่ได้

ถ้าจะทบทวนเรื่องปัจจัยและปัจจยุปบันเป็นภาษาบาลี ในมหาภูตรูป ๔ นั่นเอง ถ้าปฐวีธาตุเป็นปัจจัย เตโชธาตุ อาโปธาตุ วาโยธาตุ เป็นปัจจยุปบัน ถ้าเตโชธาตุ คือ ธาตุไฟ เป็นปัจจัย ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ วาโยธาตุ เป็นปัจจยุปบัน เพราะฉะนั้น ใช้ได้ทั้งภาษาไทยและภาษาบาลี เมื่อเข้าใจคำว่า ปัจจัย คือ สภาพธรรมซึ่งทำให้สภาพธรรมอื่นเกิดขึ้น และสภาพธรรมใดก็ตามซึ่งเกิดขึ้นเพราะสภาพธรรมนั้น เป็นปัจจยุปบัน เพราะฉะนั้น ปัจจัยต้องคู่กับปัจจยุปบัน

นี่เป็นสหชาตปัจจัยประการหนึ่ง คือ มหาภูตรูป ๔ เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๔ โดยยกมหาภูตรูป ๑ เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๓ หรือยกมหาภูตรูป ๒ เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๒ หรือยกมหาภูตรูป ๓ เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๑ ก็ได้ ไม่ว่าจะกล่าวโดยนัยใดๆ ให้ทราบว่า มหาภูตรูปทั้ง ๔ เกิดพร้อมกัน จึงเป็นสหชาตปัจจัย

ที่ตัวนี่เอง ในขณะนี้ ไม่ใช่ที่อื่น และรวมทั้งมหาภูตรูปภายนอกด้วย ไม่ใช่แต่เฉพาะที่ตัวเท่านั้น ไม่ว่าที่ใดก็ตามซึ่งปรากฏลักษณะแข็ง เป็นลักษณะของปฐวีธาตุ เกิดขึ้นปรากฏ ให้ทราบว่า ในขณะนั้นต้องมีธาตุไฟ ธาตุน้ำ ธาตุลมเกิดพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นรูปภายในหรือรูปภายนอก

เพราะฉะนั้น ประการที่ ๑ คือ จิตและเจตสิกเป็นสหชาตปัจจัยซึ่งกันและกัน ประการที่ ๒ คือ มหาภูตรูป ๔ เป็นสหชาตปัจจัยซึ่งกันและกัน

ต่อไปคือ ประการที่ ๓ ปฏิสนธิจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เป็นสหชาตปัจจัยแก่ปฏิสนธิหทยวัตถุ

คำว่า วัตถุ หมายความถึงรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิต ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ รูปจะเกิดโดยที่ไม่มีจิตเป็นที่เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขณะใดที่จิตเกิดจะต้องทราบว่า จิตประเภทนั้นเกิดที่รูปอะไร ซึ่งรูปอันเป็นที่เกิดของจิตนั้นมี ๖ รูป ได้แก่ วัตถุ ๖ คือ

จักขุวัตถุเป็นที่เกิดของจักขุวิญญาณ ที่กำลังเห็นในขณะนี้ จิตเห็นเป็นสภาพรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา เกิดที่จักขุปสาท เพราะฉะนั้น จักขุปสาทเป็นจักขุวัตถุของ จักขุวิญญาณ

ขณะที่ได้ยิน โสตปสาทเป็นโสตวัตถุ คือ เป็นที่เกิดของโสตวิญญาณ จิตที่กำลังได้ยินเสียงในขณะนี้เกิดที่โสตปสาทและดับที่โสตปสาท เพราะฉะนั้น โสตปสาทเป็นโสตวัตถุของโสตวิญญาณ

ขณะที่ได้กลิ่น ฆานวิญญาณเกิดที่ฆานปสาท เพราะฉะนั้น ฆานปสาทใดซึ่งเป็นที่เกิดของฆานวิญญาณในขณะนั้น ฆานปสาทรูปนั้นเป็นฆานวัตถุของ ฆานวิญญาณในขณะที่ได้กลิ่น และก็ดับ ไม่เที่ยงเลย ชั่วขณะเล็กน้อยนิดเดียวซึ่งจิตเกิดขึ้นกระทำกิจต่างๆ และเกิดที่ต่างๆ

ในขณะที่ลิ้มรส ที่รสปรากฏเพราะชิวหาวิญญาณเกิดขึ้นลิ้มรสที่ชิวหาปสาทรูป ซึ่งเป็นชิวหาวัตถุ เพราะว่าเป็นที่เกิดของชิวหาวิญญาณ และก็ดับ

ขณะใดที่กำลังกระทบเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ขณะนั้นกายวิญญาณเกิดที่กายปสาทรูป เพราะฉะนั้น กายปสาทรูปเป็นกายวัตถุ คือ เป็นที่เกิดของ กายวิญญาณในขณะนั้น และก็ดับ

แต่ในวันหนึ่งๆ ไม่ได้มีแต่จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส จิตอื่นทั้งหมดนอกจากนั้น เกิดที่หทยรูปซึ่งเป็นหทยวัตถุ คือ เป็นที่เกิดของจิตอื่นทั้งหมดในภูมิที่มีขันธ์ ๕ นอกจากทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวงที่กล่าวข้างต้น

เพราะฉะนั้น ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ในปฏิสนธิกาล คือ ในขณะที่เกิด จิตจะเกิดโดยที่ไม่มีรูปเป็นที่เกิดไม่ได้ และในอุปาทขณะของปฏิสนธิจิต คือ ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น กรรมเป็นปัจจัยทำให้หทยวัตถุเกิด โดยเป็นที่เกิดของปฏิสนธิจิตในขณะนั้น ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1103

การเกิดขึ้นในภูมิมนุษย์ ซึ่งปฏิสนธิจิตได้ดับไปนานแล้ว เพราะว่าเป็น จิตดวงแรก ขณะแรกที่เกิดขึ้น ปฏิสนธิจิตเป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรมหนึ่ง ถ้าเกิดในสุคติภูมิก็เป็นผลของกุศลกรรม ถ้าเกิดในทุคติภูมิก็เป็นผลของอกุศลกรรม และในภูมิที่มีขันธ์ ๕ กรรมไม่ได้ทำให้เพียงปฏิสนธิจิตและเจตสิกเกิดเท่านั้น ยังมีกัมมชรูป ซึ่งถ้าเป็นในภูมิมนุษย์ที่เกิดในครรภ์ ในทันทีที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นจะมีกัมมชกลาป รวม ๓ กลาปเกิดขึ้นด้วย

กลาป หรือกลาปะในภาษาบาลี หมายความถึงกลุ่มของรูป เพราะรูปจะเกิดขึ้นเพียงลำพังรูปเดียวไม่มี อย่างน้อยที่สุดต้องมีรูปเกิดพร้อมกัน ๘ รูป คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นมหาภูตรูป ๔ และรูปซึ่งอาศัยเกิดกับมหาภูตรูปอีก ๔ คือ สี กลิ่น รส โอชา อีก ๔ รูป ซึ่งไม่ใช่มหาภูตรูป แต่เป็นรูปที่เกิดโดยอาศัยมหาภูตรูป ชื่อว่าอุปาทายรูป

เพราะฉะนั้น รูป ๘ รูป ไม่แยกจากกันเลย คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ๔ รูป และสี กลิ่น รส โอชา อีก ๔ เป็น ๘ รูป

และสำหรับรูปซึ่งเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย จะต้องมีชีวิตรูปรวมอยู่ด้วย ซึ่งทำให้รูปนั้นมีลักษณะเป็นรูปที่ทรงชีวิต เป็นลักษณะของรูปซึ่งมีชีวิตต่างกับรูปอื่นๆ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะกรรมอีกรูปหนึ่ง รวมเป็น ๙ รูป

เพราะฉะนั้น สำหรับ ๓ กลาป จะประกอบด้วยรูปกลุ่มละ ๑๐ คือ นอกจากจะมีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมที่เป็นมหาภูตรูป มีสี กลิ่น รส โอชาที่เป็น อุปาทายรูป และมีชีวิตรูปอีกหนึ่งรูป รวมเป็น ๙ รูป ยังมีกายปสาทอีก ๑ รูป เป็น ๑๐ รูป ซึ่งในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นรูปนั้น ทั้ง ๓ กลาปหรือทั้ง ๓ กลุ่มของรูปเป็นรูปที่เล็กมาก แต่ให้ทราบว่า แม้จะเล็กเพียงไรก็ตามในกลุ่มหนึ่งๆ หรือกลาปหนึ่งๆ จะมีรูปรวมกัน ๑๐ รูป

กลุ่มหนึ่งเป็นกายทสกะ ได้แก่ กลุ่มของกายกลุ่มหนึ่ง อีกกลุ่มหนึ่ง คือ ภาวทสกะ ได้แก่ มหาภูตรูป ๔ อุปาทายรูป ๔ ชีวิตรูป ๑ และอิตถีภาวะ ๑ ถ้าเป็นเพศหญิง หรือปุริสภาวะอีก ๑ ถ้าเป็นเพศชาย รวมเป็น ๑๐ รูป เรียกว่าภาวทสกะและอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นที่เกิดของจิต คือ หทยทสกะ ซึ่งต้องประกอบด้วยรูป ๑๐ รูป คือ มหาภูตรูป ๔ อุปาทายรูป ๔ ชีวิตรูป ๑ และหทยวัตถุ คือ รูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิตอีกหนึ่งรูปในกลุ่มนั้น รวมเป็นหทยทสกะ คือ กลุ่มของหทัยซึ่งเป็นที่เกิดของจิต

เพราะฉะนั้น กรรมทำให้กัมมชรูป ๓ กลุ่มเกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิตในอุปาทขณะ แต่ถ้าปฏิสนธิจิตไม่เกิด กัมมชรูป ๓ กลุ่มนี้ก็เกิดไม่ได้

สำหรับปฏิสนธิจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เป็นสหชาตปัจจัยให้กัมมชรูป ๓ กลุ่มเกิดขึ้น ซึ่งได้เป็นไปแล้วพร้อมกันทันทีในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น โดยนัยเดียวกัน หทยวัตถุในขณะปฏิสนธิซึ่งเกิดพร้อมกับอุปาทขณะของจิต ก็เป็นสหชาตปัจจัยของปฏิสนธิจิต แต่ว่ากัมมชกลาปอีก ๒ กลาป ไม่เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิด เพราะว่าจิตไม่ได้เกิดที่กายทสกะ หรือภาวทสกะ แต่เกิดที่กลุ่มของรูปที่เป็นหทยทสกะเท่านั้น

สหชาตปัจจัยหมวดนี้ คือ ปฏิสนธิจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เป็นสหชาตปัจจัยให้แก่ปฏิสนธิหทยวัตถุในอุปาทขณะ และปฏิสนธิหทยวัตถุเป็นสหชาตปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในอุปาทขณะ

ถ้าท่านผู้ฟังสังเกต จะเห็นได้ว่า กล่าวถึงเฉพาะหทยวัตถุในปฏิสนธิขณะ คือ หมายถึงปฏิสนธิหทยวัตถุรูป รูปเดียวที่เป็นสหชาตปัจจัยของปฏิสนธิจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เพราะเหตุใด เพราะว่ารูปอื่น หรือขณะอื่นที่นอกจากปฏิสนธิขณะ ที่รูปจะเป็นปัจจัยให้เกิดจิตก็ดี หรือจะเป็นทวารให้จิตรู้อารมณ์ก็ดี หรือว่าจะเป็นอารมณ์ให้ จิตรู้ก็ดี รูปทั้งหมดที่จะเป็นปัจจัยได้ในขณะอื่นนอกจากปฏิสนธิกาล ต้องเป็นรูปในขณะฐีติขณะของรูป

รูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้น ในอุปาทขณะของจิต ถ้ารูปนั้นเกิดในขณะนั้น รูปนั้นไม่สามารถเป็นปัจจัยให้แก่จิตได้เลย เป็นทวารไม่ได้ เป็นวัตถุไม่ได้ เป็นอารมณ์ไม่ได้ นอกจากเฉพาะในปฏิสนธิกาล คือ ในขณะเกิดขึ้นขณะเดียวเท่านั้น ซึ่งปฏิสนธิหทยวัตถุเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตได้ในอุปาทขณะของรูป นอกจากนั้นแล้ว รูปไม่มีโอกาสเป็นปัจจัยในอุปาทขณะของรูปได้เลย รูปทุกรูปที่จะเป็นปัจจัยโดยเป็นทวารก็ดี โดยเป็นวัตถุคือเป็นที่เกิดก็ดี หรือโดยเป็นอารมณ์ก็ดี จะต้องเป็นปัจจัยในฐีติขณะเท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้ในวีถีจิตว่า ขณะที่รูปเกิดกระทบภวังค์ ขณะนั้นจิตไม่สามารถจะรู้หรือมีรูปนั้นเป็นอารมณ์ได้ทันที ต้องเป็นในฐีติขณะของรูปเสมอ เว้นขณะเดียว คือ ในปฏิสนธิขณะเท่านั้น ซึ่งรูปสามารถเป็นปัจจัยได้ใน อุปาทขณะ

. ในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด อาจารย์กล่าวว่า มีรูปกลาป คือ มี กายทสกกลาป ภาวทสกกลาป และหทยทสกกลาปเกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิต ใช่ไหม

สุ . ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ สำหรับผู้ที่เกิดในครรภ์ ถ้าเกิดเป็นโอปปาติกะ หรือ ในกำเนิดอื่น ก็จะมีกลาปมากกว่านั้น

. อย่างในมนุษย์ ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด รูป ๓๐ รูปนี้ต้องเกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิต และรูป ๓๐ รูปนี้ถือว่าเป็นสหชาตปัจจัยของปฏิสนธิจิต

สุ . มีกลุ่มของรูป ๓ กลุ่มเกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิตในอุปาทขณะ ปฏิสนธิจิตเป็นสหชาตปัจจัยของกัมมชรูป ๓ กลุ่ม นี่ตอนหนึ่ง คือ ปฏิสนธิจิตเป็นสหชาตปัจจัยให้เกิดกัมมชรูป ๓ กลุ่ม แต่ว่าในกัมมชรูป ๓ กลุ่ม เฉพาะกลุ่มเดียว คือ ปฏิสนธิหทยวัตถุที่ในหทยทสกกลาปเป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิจิตได้ แต่อีก ๒ กลุ่มไม่เป็นปัจจัย

เพราะฉะนั้น ปฏิสนธิจิตเป็นปัจจัยแก่กัมมชรูป ๓ กลาป และปฏิสนธิหทยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ปฏิสนธิจิต เฉพาะกลาปเดียว จะต้องทราบอย่างละเอียดว่า มี ๓ กลาป ซึ่งเป็นกัมมชรูปเกิดขึ้นเพราะปฏิสนธิจิตเป็นปัจจัย แต่ว่าใน ๓ กลาปนั้น เฉพาะปฏิสนธิหทยวัตถุรูปเท่านั้นที่เป็นสหชาตปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิด กัมมชกลาปอีก ๒ กลาป คือ ภาวทสกกลาปและกายทสกกลาปไม่เป็นสหชาตปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิจิต

เกิดพร้อมกันจริง ปฏิสนธิจิตเป็นปัจจัย กัมมชกลาป ๓ กลุ่มเป็นปัจจยุปบัน แต่ใน ๓ กลุ่มนั้น กลุ่มหนึ่ง คือ ปฏิสนธิหทยวัตถุรูปเป็นสหชาตปัจจัยให้เกิด ปฏิสนธิจิต

เพราะฉะนั้น เรื่องของปัจจัยต้องแยกกับเรื่องของปัจจยุปบัน ถ้าจะเอาปัจจัยปนกับปัจจยุปบันจะทำให้เข้าใจสภาพธรรมคลาดเคลื่อน สภาพธรรมใดซึ่งเป็นปัจจัย ทำให้สภาพธรรมอื่นเกิดขึ้น ไม่ได้หมายความว่าสภาพธรรมอื่นซึ่งเกิดเพราะปัจจัยนั้นจะเป็นปัจจัยด้วย แม้ว่าสหชาตปัจจัย คือ ปัจจัยและปัจจยุปบันจะเกิดพร้อมกัน แต่ก็ต้องทราบว่า ในสภาพธรรมซึ่งเกิดพร้อมกัน คือ เป็นปัจจัยและปัจจยุปบันนั้น สภาพธรรมใดเป็นปัจจัย และสภาพธรรมใดเป็นปัจจยุปบัน

ขอเรียนถามว่า กัมมชรูปในขณะอื่นเกิดขึ้นเพราะอะไรเป็นปัจจัย

กัมมชรูป ชื่อบอกแล้ว เพราะกรรมเป็นปัจจัย ไม่มีจิตเป็นปัจจัยเกิดได้ไหม กัมมชรูปในขณะอื่น ไม่มีจิตเป็นปัจจัย เกิดได้ไหม ได้ เพราะว่ารูปนั้นเกิดขึ้นเพราะกรรม เฉพาะในขณะปฏิสนธิเท่านั้นที่จะต้องอาศัยจิตเป็นสหชาตปัจจัย แต่ไม่ใช่เพราะจิตเป็นสมุฏฐาน อย่าลืม กัมมชรูปยังคงเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย ไม่ได้เกิดเพราะจิตเป็นสมุฏฐาน แต่ที่กัมมชรูปในขณะแรกจะเกิดขึ้นได้ในภูมิหนึ่งภูมิใดเป็นครั้งแรกนั้นต้องอาศัยปฏิสนธิจิตเป็นสหชาตปัจจัย แต่กัมมชรูปนั้นก็ยังคงเป็นรูปที่เกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน เพราะฉะนั้น หลังจากอุปาทขณะของปฏิสนธิจิตแล้ว กัมมชรูปทั้งหมดเกิดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยจิต

ตัวอย่างในนิโรธสมาบัติ จิต เจตสิกดับ กัมมชรูปยังเกิดดับสืบต่ออยู่เรื่อยๆ นี่เป็นความต่างกันของผู้ที่เป็นพระอนาคามีบุคคลหรือผู้ที่เป็นพระอรหันต์ซึ่งได้ อรูปฌานที่ ๔ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน สามารถดับจิต เจตสิกได้ไม่เกิน ๗ วัน ในระหว่างนั้นจิตเจตสิกไม่เกิดเลย แต่กัมมชรูปเกิด เพราะฉะนั้น กัมมชรูปเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน แต่ว่าเฉพาะในครั้งแรกในภพนี้ชาตินี้ใน ปฏิสนธิขณะนั้น จะต้องอาศัยจิตเป็นสหชาตปัจจัยจึงจะเกิดได้

อสัญญสัตตาพรหมบุคคลมีแต่รูปปฏิสนธิ ในขณะปฏิสนธินั้นกัมมชรูปเกิด ไม่ต้องอาศัยจิตสำหรับในภูมินั้น แต่ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ แม้รูปจะเกิดเป็นครั้งแรก แม้รูปนั้นจะเป็นกัมมชรูป คือ รูปซึ่งเกิดเพราะกรรม มีกรรมเป็นสมุฏฐาน แต่ในขณะแรกที่เกิดก็ยังต้องอาศัยปฏิสนธิจิตเป็นสหชาตปัจจัย

หมวดที่ ๔ สำหรับสหชาตปัจจัย จะมีสภาพธรรมอะไรอีกไหมซึ่งเกิดพร้อมกัน

จิตและเจตสิก เป็นหมวดที่ ๑

มหาภูตรูป ๔ เป็นหมวดที่ ๒

ปฏิสนธิจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕ และปฏิสนธิหทยวัตถุ เป็นหมวดที่ ๓

หมวดที่ ๔ คือ จิตและเจตสิกเป็นสหชาตปัจจัยให้เกิดจิตตชรูป

เรื่องของสหชาตปัจจัย ถ้าศึกษาโดยย่อก็ย่อมาก คือ สภาพธรรมใดที่เกิดพร้อมกันในขณะนั้นเป็นสหชาตปัจจัย แต่ถ้าศึกษาให้ละเอียดจะต้องแยกออก เช่น จิตเป็นสหชาตปัจจัยให้จิตตชรูปเกิดขึ้น ถ้าใช้คำว่าสหชาตปัจจัยก็หมายความว่า จิตตชรูปที่เกิดเพราะจิตเป็นสมุฏฐานนั้น ต้องเกิดพร้อมกับจิตในอุปาทขณะของจิต จึงจะเป็นสหชาตปัจจัย ถ้าเกิดก่อน หรือเกิดหลัง ไม่ชื่อว่าเป็นสหชาตปัจจัย เพราะฉะนั้น รูปทั้งหมดที่เป็นจิตตชรูป จะต้องเกิดพร้อมกับอุปาทขณะของจิต

และสำหรับจิตซึ่งเป็นปัจจัยให้จิตตชรูปเกิด ก็เว้นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ อรูปวิบาก ๔ ปฏิสนธิจิต ๑ และจุติจิตของพระอรหันต์ ๑ รวมทั้งหมดเป็นจิต ๑๖ ดวง ซึ่งไม่เป็นปัจจัยให้รูปเกิดขึ้น

ขณะเห็น เฉพาะจักขุวิญญาณไม่เป็นปัจจัยให้จิตตชรูปเกิด สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะ ชวนะ เป็นปัจจัยให้จิตตชรูปเกิด มีใครสั่งหรือเปล่า

สำหรับเรื่องที่จะเข้าใจว่า จิตสั่ง บางท่านดูเหมือนว่าเข้าใจ พอใครบอกว่า จิตสั่ง ก็เข้าใจว่าจิตสั่งให้รูปเกิด มิฉะนั้นแล้วจะไม่มีการเดิน การพูด หรือการกระทำกิจการงานต่างๆ แต่ถ้าจะพิจารณาให้ละเอียดจริงๆ ให้เข้าใจจริงๆ ก็ต้องคิดตั้งแต่ คำว่า จิตสั่ง ที่เรียกว่า สั่ง คืออย่างไร มีใครจะตอบได้ไหมว่า สั่ง คืออย่างไร ที่จะใช้คำว่า จิตสั่ง

ผู้ฟัง … (ได้ยินไม่ชัด)

สุ. เพราะฉะนั้น จิตสั่งไม่ได้ใช่ไหม ถ้ามีท่านผู้ใดที่เข้าใจว่าจิตสั่ง เพราะดูเหมือนพอบอกว่า จิตสั่ง ใครๆ ก็เข้าใจว่า ถูกจิตสั่ง มิฉะนั้นแล้วรูปก็จะเคลื่อนไหวประกอบกิจการงานต่างๆ ไม่ได้ ทำให้ดูเหมือนว่าจิตสั่ง แต่ถ้าพิจารณาจริงๆ จะต้องพิจารณาแม้แต่ในความหมายของคำว่า สั่ง ว่าคืออย่างไร คืออะไรที่ว่าสั่ง

ผู้ฟัง เรื่องจิตสั่ง ผมไม่เห็นด้วย เพราะไปขัดกับหลักธรรมที่ว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายบังคับบัญชาไม่ได้ แต่ว่าเท่าที่ผมได้ยินได้ฟังมาในการบรรยายธรรมตามสถานที่ต่างๆ ทางวิทยุก็ดีนั้น พอจะจับใจความได้ว่า ท่านผู้บรรยายธรรมเหล่านั้น ท่านใช้คำว่าจิตสั่ง เป็นต้นว่า ผมยืนอยู่นี่เพราะจิตสั่งให้ยืน แต่ผมว่าไม่ใช่จิตสั่ง เพราะว่าขัดกับหลักธรรมตามที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งท่านผู้บรรยายธรรมก็ถามว่า ที่โยมยืนอยู่นี่ ยืนเพราะอะไร เราเถียงท่าน ท่านก็ว่า โยมไปคิดดูใหม่ก็แล้วกัน

สุ. แต่ต้องพิจารณา แม้คำว่าสั่ง ที่ว่าสั่งนั้นคืออะไร

ผู้ฟัง อย่างเหยียดแขน เพราะจิตสั่งให้เหยียด จึงเหยียดออกไป

สุ. สั่งคืออะไร ที่ว่าสั่ง ดูเหมือนว่าจะเข้าใจ แต่ถ้าพิจารณาจริงๆ ต้องพิจารณาตั้งแต่แม้คำว่า สั่ง คืออะไร คืออย่างไร และเมื่อไรที่ว่าสั่ง

ผู้ฟัง เคยเรียนถาม ท่านก็ว่า ไม่อธิบายในข้อนี้ แต่ท่านว่า ที่โยมนั่ง ไม่ใช่เพราะจิตสั่งหรือ ผมก็ว่า ไม่ใช่

สุ. จิตเป็นสภาพรู้

ผู้ฟัง ท่านก็ไม่อธิบาย พูดไปพูดมา ก็ตกลงกันไม่ได้ ท่านก็บอกว่า โยมไปคิดดูใหม่ก่อน และวันหลังก็ไม่ได้เอามาพูดกันอีก เดี๋ยวนี้ทางวิทยุก็ยังพูดกันอยู่ และท่านก็มักจะพูดว่า จิตเป็นประธาน เป็นหัวหน้าของธรรมทั้งหลาย ท่านอ้างอย่างนี้ แต่ผมไปอ่านหนังสือพบข้อความว่า ถ้าจิตสั่งได้ ร่างกายก็คงไม่เปื่อย ไม่แก่ ความจริงสั่งไม่ได้ ขัดกับหลักที่ว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่ท่านเหล่านั้นท่านมองข้ามไปหมด

สุ. โดยมากเวลาที่ใช้คำว่า สั่ง ท่านเข้าใจความหมายนี้ว่าอย่างไร

ผู้ฟัง ก็แปลว่า บังคับบัญชาให้ทำไปตามที่จิตต้องการ เข้าใจว่าอย่างนั้น

สุ. ต้องพูดหรือเปล่าที่ว่าสั่ง หรือว่าไม่ต้องพูด จิตนึกหรือเปล่าขณะนั้น

ผู้ฟัง นึก

สุ. นึก คือ รู้คำหรือเปล่า

ผู้ฟัง ใช่

สุ. ถ้าขณะนั้นจิตรู้คำ ก็ไม่ได้สั่งอะไร เพราะจิตเป็นสภาพที่รู้คำ และก็ดับ ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1104

จิตมีลักษณะเดียวคือเป็นสภาพรู้ หรือธาตุรู้ เพราะฉะนั้น การที่จะประจักษ์ลักษณะของจิตที่ว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ต้องรู้ในอาการรู้ ซึ่งเป็นลักษณะของจิต ถ้าไปรู้ในอาการอื่น ไม่มีทางที่จะเข้าใจในสภาพรู้ได้

ผู้ฟัง เคยโต้เถียงกับผู้บรรยายว่า โดยสภาวะของจิต จิตเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ ไม่ใช่จะไปสั่งอะไรได้ แต่ท่านก็ไม่ยอม ท่านบอกว่า สั่งนะโยม ที่โยมนั่งอยู่อย่างนี้ เพราะจิตสั่ง ท่านว่าอย่างนั้น ฆราวาสก็เหมือนกัน ฆราวาสที่ท่านบรรยายธรรมก็ว่าจิตสั่ง เดี๋ยวนี้ก็ยังบรรยายอย่างนี้อยู่ทางวิทยุ

สุ. ในจิต ๘๙ ดวง และในวิถีจิตทุกขณะ ตรวจสอบได้ว่าจิตแต่ละขณะนั้นมีอะไรเป็นอารมณ์ แม้แต่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น เพราะกรรมเป็นปัจจัย ปฏิสนธิจิตมีอารมณ์เดียวกับจิตที่ใกล้จะจุติของชาติก่อน เพราะฉะนั้น ปฏิสนธิจิตกำลังมีอารมณ์นั้น เกิดขึ้นขณะเดียวและดับ ไม่ได้สั่งอะไร เพราะว่าจิตเป็นสภาพรู้ แม้แต่ กัมมชรูปซึ่งเกิดเพราะปฏิสนธิจิตเป็นสหชาตปัจจัย ในขณะนั้น กัมมชรูปเกิดพร้อม อุปาทขณะของปฏิสนธิจิต คือ ทันทีที่ปฏิสนธิจิตเกิด กัมมชรูปก็เกิดพร้อมกันใน อุปาทขณะ ขณะนั้นก็ไม่ได้สั่ง ภวังคจิตก็มีอารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิต รู้อารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิต จะสั่งได้ไหม เพราะฉะนั้น ภวังคจิตก็สั่งไม่ได้ จนกระทั่งวิถีจิต แต่ละดวงก็มีอารมณ์และมีกิจการงานเฉพาะของจิตนั้นๆ ซึ่งเป็นสภาพรู้อารมณ์ แต่ละขณะ

ผู้ฟัง ที่อาจารย์กรุณาอธิบาย ผมเห็นด้วย แต่มีผู้ฟังอื่นที่ยังเข้าใจไขว้เขว อีกมาก แม้แต่ในการสนทนาธรรม เขาก็ยังเถียงเรื่องจิตสั่งนี้ ปรมัตถธรรมมี ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน นิพพานนั้นเราไม่ต้องพูดถึง แค่จิต เจตสิก รูป ๓ ปรมัตถ์ ถ้าจิตเป็นผู้สั่ง อะไรเป็นผู้รับคำสั่ง เจตสิกหรือ เจตสิกก็ต้องเกิดพร้อมกับจิตจะไปรับคำสั่งจากจิตอีกอย่างไร ส่วนรูปก็เป็นสภาวธรรมที่รู้อารมณ์ไม่ได้ เมื่อรูปรู้อารมณ์ไม่ได้ จะไปรับคำสั่งจากใครได้

สุ. และโดยเฉพาะสหชาตปัจจัย จิตเป็นสหชาตปัจจัยทำให้จิตตชรูปเกิดพร้อมกันในอุปาทขณะ เพราะฉะนั้น ไม่มีโอกาสจะสั่ง เพราะว่าเกิดพร้อมกัน

ผู้ฟัง ที่ฟังอยู่ทุกวันนี้ ท่านก็อ้างอยู่ว่า จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน เพราะฉะนั้น ที่เคลื่อนไหวอยู่นี้เพราะจิตสั่งทั้งนั้น แต่ผมไม่เห็นด้วย ผมเห็นด้วยตามแนวทางที่อาจารย์บรรยายนี้

สุ. เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมต้องละเอียดจริงๆ ไม่ใช่เพื่อเหตุอื่น นอกจากเพื่อให้พิจารณาจนกว่าจะเข้าใจแจ่มแจ้งถูกต้องตามความเป็นจริง มิฉะนั้นแล้วการศึกษาธรรมไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่ใช่ศึกษาเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมตรงตามที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้ และตรงตามลักษณะของสภาพธรรมซึ่งสามารถพิสูจน์หรือประจักษ์แจ้งได้ เพียงแต่ให้ทราบว่า เป็นเรื่องที่ละเอียด และท่านผู้ฟังต้องพิจารณาไตร่ตรองจนกว่าจะเป็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง

สำหรับเรื่องของสหชาตปัจจัย จะทำให้เข้าใจเรื่องของจิตและจิตตชรูปว่า จิตเป็นสหชาตปัจจัยของจิตตชรูป คือ เป็นปัจจัยให้จิตตชรูปเกิดพร้อมกับอุปาทขณะของจิต

สำหรับหมวดที่ ๕ คือ มหาภูตรูป ๔ เป็นสหชาตปัจจัยให้เกิดอุปาทายรูป

อย่าลืม นอกจากมหาภูตรูป ๔ เป็นสหชาตปัจจัยให้เกิดมหาภูตรูป ๔ โดยต่างก็เป็นสหชาตปัจจัยแล้ว ในหมวดที่ ๕ มหาภูตรูป ๔ เป็นสหชาตปัจจัยให้เกิด อุปาทายรูป ๔ เพราะฉะนั้น นอกจากธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ซึ่งเป็นมหาภูตรูป ๔ เกิดขึ้นแล้ว ยังเป็นสหชาตปัจจัยให้สี กลิ่น รส โอชา และอุปาทายรูปอื่นในกลุ่มหรือในกลาปนั้นเกิดขึ้นพร้อมกันกับมหาภูตรูปนั้น เพราะว่ามหาภูตรูปเป็นสหชาตปัจจัยให้เกิดอุปาทายรูป

สำหรับหมวดที่ ๖ ก็ได้กล่าวถึงแล้วว่า ในปฏิสนธิกาล หทยวัตถุเป็นสหชาตปัจจัยแก่ปฏิสนธิจิต แต่ในปวัตติกาล หทยวัตถุจะเป็นสหชาตปัจจัยให้เกิดจิตไม่ได้ คือ หลังจากที่ปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว จิตดวงต่อๆ ไปก็ต้องอาศัยรูปเกิดขึ้น ในขณะที่เป็นภวังคจิต ไม่เห็น ไม่ได้อาศัยจักขุปสาท ไม่ได้เกิดที่จักขุปสาท ในขณะที่เป็นภวังค์ก็ไม่ได้ยิน เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นจิตก็ไม่ได้เกิดที่โสตวัตถุ ไม่ได้เกิดที่โสตปสาท แต่ในขณะที่เป็นภวังค์ จิตเกิดที่หทยวัตถุซึ่งไม่ได้เกิดพร้อมกับจิต เพราะว่าหลังจากปฏิสนธิขณะ ที่รูปจะเป็นปัจจัยได้จะต้องเป็นปัจจัยเฉพาะในฐีติขณะ ไม่ใช่ใน อุปาทขณะ เพราะฉะนั้น สำหรับภวังคจิตจะอาศัยหทยวัตถุซึ่งเกิดก่อนเป็นที่เกิด หรือแม้แต่จักขุวิญญาณที่กำลังเห็นในขณะนี้ ก็ต้องอาศัยปสาทรูปซึ่งเกิดก่อนเป็นที่เกิด

รูปทุกรูป นอกจากปฏิสนธิขณะแล้ว จะเป็นปัจจัยโดยเป็นวัตถุก็ดี โดยเป็นทวารก็ดี โดยเป็นอารมณ์ก็ดี จะเป็นได้เฉพาะในขณะที่เป็นฐีติขณะ แต่ในอุปาทขณะ รูปจะเป็นปัจจัยไม่ได้ ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1105

รับฟัง ...

ปัจจัยที่ ๖ สหชาตปัจจัย


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ