สาวกจะไม่ประจักษ์สภาพธรรมดังที่พระผู้มีพระภาคทรงประจักษ์

 
ทรงศักดิ์
วันที่  10 ธ.ค. 2565
หมายเลข  45326
อ่าน  318

จากหนังสือแนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม90 หน้า20 ประมาณบรรทัดที่22

ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ได้บรรยายว่า

" ... แต่ผู้ที่เป็นสาวกจะไม่ประจักษ์สภาพธรรมดังที่พระผู้มีพระภาคทรงประจักษ์คือ เป็นขณะจิต... "

ขอให้อาจารย์ คำปั่น ช่วยอธิบายเพิ่มเติมครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 11 ธ.ค. 2565

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เท่าที่เข้าใจ เป็นข้อความที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างกันของระดับปัญญา ในฐานะของความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ทุกสิ่งที่อย่างตามความเป็นจริง แม้แต่จิตแต่ละขณะๆ พระองค์ก็ทรงรู้อย่างแจ่มแจ้ง ทีละขณะจิต และ ปัญญาของพระสาวก ดังนั้น ปัญญาของพระสาวกจะไม่มีทางเทียบเท่ากับพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย ก็เป็นการประจักษ์แจ้งได้ตามกำลังปัญญาของตนในฐานะที่เป็นสาวก เท่านั้น แต่การประจักษ์แจ้ง ก็เป็นการประจักษ์แจ้ง ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ครับ

...ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ทรงศักดิ์
วันที่ 12 ธ.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

จากการศึกษาหนังสือแนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม 97 หน้า 33 บรรทัดที่ 8 ได้พบคำอธิบายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ดังนี้

ถ. รูปารมณ์มีอายุเท่ากับ๑๗ ขณะของจิต ซึ่งทางปัญจทวารวิถีนับตั้งแต่ อตีตภวังค์จนกระทั่ง ถึงตทาลัมพนะได้ ๑๗ ขณะ รูปารมณ์ก็ดับไปแล้ว และภวังคจิตก็เกิดคั่นนับ ไม่ถ้วน หลังจากนั้น มโนทวารวิถีจึงเกิดขึ้น รับอารมณ์ต่อจากทางปัญจทวาร ถ้าสติระลึก รู้ในขณะนั้น ยังชื่อว่าปัจจุบันอารมณ์ หรือยังเป็นปรมัตถอารมณ์หรือเปล่า

สุ. ปัจจุบัน และปรมัตถ์ด้วย แต่ไม่ใช่โดยขณะ โดยสันตติ โดยการสืบต่อ เพราะยังไม่ดับไปยังปรากฏอยู่ ยังไม่ดับในที่นี้หมายความว่า ยังมีเกิดดับปรากฏอยู่ ที่จริงแล้ว ๑๗ ขณะ โดยอายุของรูป รูปนั้นดับไปหมดแล้ว แต่ก็มีรูปเกิดอีก ๑๗ ขณะ ดับ ไป และก็มีรูปเกิดอีก๑๗ขณะ ดับ ไป จึงปรากฏให้เห็นเป็นลักษณะของรูปนั้น
ที่ใช้คำว่าปัจจุบันมีความหมายหลายอย่าง ในความหมายนี้หมายความถึงปัจจุบันสันตติ โดยการสืบต่อ ไม่ใช่เมื่อวานนี้ เมื่อปีก่อน เมื่อเดือนก่อน


ผมเข้าใจว่า ขณะที่นามหรือรูปปรากฏเกิดขึ้นขณะใด พระผู้มีพระภาคสามารถประจักษ์แจ้งได้ทันทีในขณะนั้นคือโดยขณะจิตนั้น แต่สาวกจะประจักษ์แจ้งสภาพธรรมนั้นๆ ไม่ใช่ในขณะที่เกิดนั้นทันที แต่เป็นหลังจากนั้นอีกหลายขณะจิตหรือหลายๆ วิถีจิตซึ่งมีทั้งปัญจทวารวิถีและมโนทวารวิถีเกิดสลับไปมาได้แต่สภาพธรรมยังปรากฏให้รู้ได้ และการรู้แจ้งสภาพธรรมจะเข้าใกล้โดยขณะมากขึ้นเมื่อปัญญาคมกล้าขึ้นหรือแล้วแต่ปัญญาของแต่ละบุคคล

ไม่แน่ใจว่าความเข้าใจจะถูกหรือผิดประการใด อาจารย์คำปั่นโปรดชี้แนะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 12 ธ.ค. 2565

เรียน ความคิดเห็นที่ ๒

เป็นเรื่องที่ละเอียดอย่างยิ่ง เพราะเป็นการประจักษ์แจ้งธรรม แต่ก็ต้องเข้าใจในเบื้องต้นได้ว่า การประจักษ์แจ้ง ก็ต้องเป็นการประจักษ์แจ้ง สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่ดับไปนานแล้ว แต่ในขณะที่สภาพธรรมกำลังมีอยู่ โดยปัจจุบันขณะ หรือ โดยปัจจุบันสันตติ โดยการสืบต่อ ความเป็นจริง เป็นจริงอย่างนี้ แต่ระดับปัญญา ของแต่ละบุคคล ต่างกัน ครับ

...ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ทรงศักดิ์
วันที่ 13 ธ.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 13 ธ.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wannee.s
วันที่ 24 ธ.ค. 2565

ปัญญามีหลายระดับ หลายขั้น ปัญญาของพระอรหันต์ มีมากกว่าพระอนาคามี ปัญญาของพระสกทาคามี มีมากกว่าพระโสดาปัน ปัญญาของพระโสดาบันมีมากกว่าปุถุชน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ทรงศักดิ์
วันที่ 11 ม.ค. 2566

ขออนุโมทนาครับ คุณ wannee.s

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ